*บทความวันนี้ยาวหน่อย แต่ตั้งใจเขียนให้แนวทางและกำลังใจกับน้องๆ รุ่นใหม่ ที่กำลังมุ่งมั่นเดินทางสู่อิสรภาพทางการเงิน ลองเอาไปปรับใช้ให้เหมาะกับตัวเองดูนะครับ
หลังเรียนจบเริ่มต้นทำงาน ผมสนใจเรื่องของการสร้างอิสรภาพทางการเงิน จำได้ว่าตอนนั้นเรียนไปเรื่อย มีอะไรน่าสนใจก็ไปเรียนรู้ ไปฝังตัวกับเขาไปหมด
ผมเริ่มเรียนรู้เครื่องมือการลงทุนด้วยหุ้นและกองทุนรวม เนื่องจากมองว่าเป็นการลงทุนที่ใช้เวลาศึกษาเป็นหลัก ไม่ต้องลงไม้ลงมือไปจัดการกับสิ่งต่างๆ เหมือนอย่างอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจ และสามารถเริ่มต้นด้วยเงินหลักพันหลักหมื่นได้ (สมัยนี้ไม่มีขั้นต่ำไปเสียแล้ว)
ตอนนั้นคิดว่าการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจนั้นต้องใช้เงินมาก เราไม่มีทุนจึงยังทำไม่ได้ และพักความคิดไว้ก่อน
หลังจากพยายามเรียนรู้เรื่องหุ้นและกองทุนรวมได้สักพัก ผมก็พบข้อจำกัดตัวเอง นั่นคือ เงินเก็บของเราเล็กมาก (สมัยนั้นเป็นหนี้อยู่ด้วย) และการลงทุนในหุ้นสมัยเมื่อ 20 ปีก่อน Leverage ไม่ได้เลย หลังศึกษาเต็มๆ อยู่ 3 ปี ผมจึงต้องพักความรู้ที่มีเก็บไว้ แล้วก็ใช้เพียงแค่ LTF กับ RMF จัดการกับภาษีในแต่ละปีไปก่อน (ปัจจุบันไม่มี LTF แล้ว มีแต่ SSF)
เมื่อพักหุ้น ผมกลับมาสนใจการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ โชคดีที่ตั้งแต่ทำงานได้ไม่นาน ผมได้บ้านเช่าหลังแรก จากการช่วยเหลือและแนะนำการลงทุนโดยคุณพ่อ (อ่านเรื่องนี้ได้ในบทแรกของหนังสือ “เกมเศรษฐี” ที่ผมเป็นผู้เขียน) แต่ตอนนั้นคิดว่าลงทุนได้แค่หลังเดียวเลยไม่ได้คิดต่อ
พอกลับมาสนใจเรื่องอสังหาริมทรัพย์อีกครั้ง ผมมองเห็นข้อดีของมันก็คือ การใช้เงินคนอื่นลงทุนได้ (Other People’s Money, OPM) จึงเริ่มลงทุนเพิ่ม ซื้อได้อีก 3 หลัง เครดิตเต็มก็เริ่มใช้สลิปเงินเดือนแฟน ใช้เงินกู้สหกรณ์ (ไม่อยู่ในเครดิตบูโร) และเริ่มใช้กลยุทธ์การลงทุนอย่าง Pyramiding นั่นคือขายทรัพย์เล็กมีส่วนต่าง เอาไปดาวน์ทรัพย์ที่ใหญ่ขึ้น
แต่ก็อีกนั่นแหละ เมื่อใช้เครดิตรอบทิศทางแล้ว มันก็ถึงจุดที่หมดกระสุน เมื่อคุยกับนายธนาคารว่าทำอย่างไรถึงจะกู้ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ได้เพิ่ม ธนาคารก็บอกหลักคิดง่ายๆ ว่า รายได้คุณต้องมากขึ้น เราถึงจะให้คุณกู้ได้มากขึ้น
และนั่นจึงเป็นที่มาของการทำธุรกิจ ผมเริ่มพัฒนางานฟรีแลนซ์ที่ปรึกษาที่ต้องทำด้วยตัวเอง เปลี่ยนมันเป็นธุรกิจที่มีคนมาช่วย เริ่มเอาทรัพย์ให้เช่าบางตัวปรับมาอยู่ในพอร์ตธุรกิจเปิดเป็นบริษัท เริ่มทำธุรกิจการเกษตร สุดท้ายบริษัทเล็กๆ หน้าตาไม่สวยงาม แต่ทำกำไร ก็สร้างโอกาสการลงทุนให้ผมเพิ่มขึ้นอีก
มาถึงวันนี้สิ่งที่ผมลงทุนเวลาไปกับการเรียนรู้ไม่มีอะไรเสียเปล่า มันอาจแค่ผิดจังหวะ ผิดท่าผิดทางไปเท่านั้น แต่เมื่อรวมๆ สิ่งที่เรียนรู้มา ผมคิดว่าโมเดลหนึ่งสำหรับคนที่สนใจสร้างอิสรภาพทางการเงินให้กับตัวเองก่อนวัย 35 นั้น สามารถทำได้ด้วยกลยุทธ์ดังต่อไปนี้
(*อันนี้เป็นสิ่งที่ผมเชื่อนะครับ คุณอาจไม่ต้องเชื่อแบบผมก็ได้)
ในช่วงอายุยังน้อยให้เริ่มต้นสร้างธุรกิจ และใช้เครดิตสร้างการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่เริ่มต้นทำนั้น ผมแนะนำให้ทำธุรกิจที่มีกำไรต่อหน่วยสูง อย่างเช่น ธุรกิจบริการ เพราะลงทุนความรู้และความสามารถมากกว่าเครื่องไม้เครื่องมือ
หรือไม่ก็ใช้เครดิตตัวเอง (อายุ 20-30 ปี อย่าสร้างหนี้บริโภคเด็ดขาด) ใช้เครดิตการเงินของเราลงทุนอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า เริ่มต้นจากเล็กไปใหญ่ ซื้อเล็กๆ ก่อน ถือครองเพื่อเรียนรู้ จากนั้นขายเพื่อนำเงินไปลงทุนทรัพย์ที่ใหญ่ขึ้น (อันนี้บริหารความเสี่ยงกันเองนะ แต่จำไว้ว่า “ความรู้ช่วยจำกัดความเสี่ยงในการลงทุนได้”)
เมื่อได้กำไรจากทั้งธุรกิจและอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า จงอย่ารีบร้อนนำเงินไปกินไปใช้ อยากจะมีอิสรภาพทางการเงินเร็ว ต้องรู้จักอดเปรี้ยวไว้กินหวาน ให้นำเงินไปลงทุนต่อ จะลงทุนในธุรกิจหรืออสังหาริมทรัพย์เพิ่มก็ได้ ถ้ามีทีมงานก็ทำธุรกิจเพิ่ม ถ้าไม่มีทีม ทำบ้านเช่าห้องเช่าเพิ่ม เพราะบริหารจัดการน้อยกว่าเยอะมาก แต่ก็อันนี้ก็แล้วแต่คนถนัด
ถ้าหากเงินได้จากการลงทุนจากธุรกิจและอสังหาริมทรัพย์มีเยอะ (Excess Cash) และไม่รู้จะทำธุรกิจอะไร หรือลงทุนอสังหาริมทรัพย์ที่ไหน ก็มองหาช่องทางเก็บไว้ในหุ้นหรือกองทุนรวม
ตัวผมโชคดีที่ตอนปี 2008 ยุควิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ มีเงินเก็บอยู่เล็กๆ ก้อนหนึ่ง พอหุ้นตกหนัก เลยได้จังหวะเข้าไปเก็บหุ้นที่เล็งมานานสะสมไว้ ที่เหลือคิดไม่ออกก็ซื้อกองทุนหุ้นเอา
เริ่มต้นจากสร้างธุรกิจ หรืออสังหาริมทรัพย์ให้เช่า ได้เงินสดมาลงทุนในธุรกิจและอสังหาริมทรัพย์ต่อ หรือไม่ก็เอาไปพักไว้ในหุ้นหรือกองทุนรวม นี่คือ กลยุทธ์ง่ายๆ ที่เริ่มได้จากเงินไม่มาก และผมเชื่อว่าทุกคนทำได้
เล่าให้ฟังโดยย่อ อาจดูเหมือนง่าย แต่ที่จริงแล้วต้องบอกว่าไม่ง่ายเลย และต้องใช้ความพยายามและอดทนอย่างมาก (แต่ยุคนี้ยุคอินเตอร์เนต เด็กๆ ยุคใหม่น่าจะ Leverage การเข้าถึงโอกาสและลูกค้าได้ดีกว่าสมัย 10 กว่าปีก่อนมาก และเร็วกว่าผมได้อีกเยอะเลย)
หัวใจหลักของความสำเร็จก็คือ “การเรียนรู้และประสบการณ์”
หลายคนอดทน แต่ไม่เรียนรู้ ไอ้พวกนี้เรียกอึด แต่ไม่ฉลาด ประสบความสำเร็จช้า อีกพวกคือ รู้ไปหมด อ่านโน่นนี่นั่นเยอะแยะ แต่ทำนิดทำหน่อยก็เหนื่อย ไอ้พวกนี้ก็ประสบความสำเร็จไม่ได้เลย เพราะอาจจะฉลาด (หรือเปล่า) แต่ไม่อึด
Process ที่เล่าให้ฟังข้างต้น ผมใช้เวลาเป็นสิบปี ไม่ได้เก่งและมหัศจรรย์อะไร มีแค่ความอึด และบอกกับตัวเองเสมอเวลาผิดพลาดว่า “กูต้องไม่โง่แบบเดิม”
และที่เล่าให้ฟังก็เพราะผมเชื่อว่า วิธีคิดวิธีการข้างต้น เป็นวิธีทำของคนธรรมดา ที่ทุกคนทำได้ ผมไม่ได้เก่งขนาดสร้าง 100 ล้าน 1,000 ล้านได้ เหมือนมหาเศรษฐีหรือเซียนที่เขาเก่งๆ กัน
แต่ผมพอใจกับสิ่งที่ผมมี และผมคิดว่ามันเพียงพอกับชีวิตทั้งชีวิตของผมและครอบครัว
เริ่มต้นจากเป้าหมายในใจที่ชัดเจน วางกลยุทธ์การเรียนรู้ให้ชัด (ย้ำ! ว่าการเรียนรู้นะครับ ไม่ใช่กลยุทธ์การสร้างเงิน) แล้วลงมือทำ ตั้งโจทย์กับทุกสิ่งที่ทำว่า จะลุยกับมันเต็มๆ 3 ปีเป็นอย่างน้อยกับทุกเส้นทางที่เลือก
ที่สำคัญ! เวลาหนึ่งวัน จะมีได้มากกว่า 24 ชั่วโมงได้นะ ... ถ้าคุณใช้เวลาของตัวเอง และใช้เวลาของคนอื่นเป็น (Other People’s Time, OPT)
แล้วพบกันที่ปลายทางแห่งความสำเร็จครับ
#โค้ชหนุ่ม #TheMoneyCoachTH
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี