nn ในการแถลงข่าวของกระทรวงพาณิชย์เรื่องการส่งออกของไทยในปี 2566 วันก่อนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ยอมรับว่าการส่งออกของไทยในปี 2566 อาจจะขยายตัวได้เพียง 1-2% เนื่องจากมีปัจจัยลบหลายประเด็นที่เข้ามากระทบ ซึ่งนอกจากเรื่องค่าเงินบาทแล้ว ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ซบเซาซึ่งจะส่งผลให้ประเทศคู่ค้าหลักของไทยมีความต้องการสินค้าลดลง ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยลบสำคัญ อย่างไรก็ตาม เหตุที่กระทรวงพาณิชย์ยังเชื่อว่าการส่งออกของไทยยังคงขยายตัวได้บ้าง ก็ต้องการแสวงหาตลาดใหม่ๆ ซึ่งนอกจากตะวันออกกลางแล้วภูมิภาคเอเชียใต้ก็เป็นหมุดหมายสำคัญ โดยเฉพาะประเทศอินเดีย ซึ่งปัจจุบันมีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับสองของโลก(ประมาณ 1.4 พันล้านคน) และกำลังจะแซงจีนอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ที่สำคัญประชากรอินเดียมากกว่า 30% อยู่ในวัยทำงาน ซึ่งหมายความว่าเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อสูงตามโอกาสในการมีรายได้ของประชากรชาวอินเดีย
ทั้งนี้ ปัจจัยสนับสนุนที่ไทยควรให้ความสำคัญกับตลาดอินเดียก็มีหลากหลายประเด็น เช่น 1.สินค้าส่งออกของไทยไปอินเดียยังมีปริมาณน้อย ยังเป็นตลาดที่ผู้ส่งออกไม่คุ้นเคยจึงมีโอกาสที่จะเจาะตลาดได้อีกมาก 2.ไทยมีศักยภาพในการผลิตกลุ่มสินค้านำเข้าสำคัญของอินเดีย สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปอินเดียคือ เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก รถยนต์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ เหล็ก เครื่องจักรกลและเครื่องปรับอากาศ ฯลฯ 3.อินเดียขยายตัวทางเศรษฐกิจสูงมากทำให้มีความต้องการสินค้าเพิ่มมากขึ้น แนวโน้มสินค้าส่งออกที่มีแววสดใสคือ อัญมณี และเครื่องประดับ เคมีภัณฑ์อินทรีย์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็ก เครื่องสำอาง สบู่ ผลิตภัณฑ์ รักษาผิวและอุปกรณ์ทางการแพทย์ 4.อินเดียมีหลายรัฐทำให้มีความต้องการในการบริโภคที่หลากหลาย 5.อินเดียเป็นประตูในการส่งออกสินค้าจากไทยไปสู่ประเทศข้างเคียง เช่น ศรีลังกา มัลดีฟส์ 6.ไทยยังมีสินค้าส่งออกกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากข้อตกลงเขตการค้าเสรี FTA 7.คนอินเดียมีทัศนคติที่ดีต่อสินค้าไทยสินค้าไทยถูกจัดเป็นสินค้าที่มีคุณภาพคุณภาพสูง และสามารถซื้อได้
ปัจจุบันสินค้าสำคัญที่ไทยส่งออกไปยังอินเดีย 10 อันดับแรก ได้แก่ 1.เคมีภัณฑ์ 2.เม็ดพลาสติก 3.รถยนต์ อุปกรณ์และ
ส่วนประกอบ 4.อัญมณีและเครื่องประดับ 5.เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ 6.เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ 7.เครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่อง 8.เครื่องรับวิทยุ โทรทัศน์ และส่วนประกอบ 9.ทองแดงและของทำด้วยทองแดง 10.ผลิตภัณฑ์ยาง
นอกจากการส่งออกที่น่าสนใจแล้วเรื่องการลงทุนก็เป็นหนึ่งทางเลือกที่น่าใจของนักลงทุนด้วยเช่นกัน ซึ่งข้อมูลจาก สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองมุมไบ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) ระบุว่า กระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรมของอินเดีย โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมและการค้าภายใน (DPIIT) ได้ทบทวนและประสานงานกับหน่วยงานต่างๆเพื่อจูงใจและอำนวยความสะดวกในการลงทุนใน 14 สาขา เช่น อาหาร เครื่องใช้ไฟฟ้า และสินค้าอุตสาหกรรมขั้นกลางต่างๆ ในปี 2566 มากขึ้น ภายใต้นโยบายอินเดียพึ่งตนเอง โดยเน้นให้แต่ละรัฐในอินเดียเร่งกระตุ้นการลงทุนอย่างจริงจัง
ทั้งนี้ อินเดียยังได้ใช้สตาร์ทอัพเป็นกลไกหนึ่งในการระดมทุนและขับเคลื่อนธุรกิจในระยะยาว และเปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาร่วมลงทุนกับสตาร์ทอัพ เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจในอินเดีย โดยปัจจุบันอินเดียมีสตาร์ทอัพแล้วประมาณ 84,000 ราย ที่ผ่านการคัดกรองและขึ้นทะเบียนโดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมและการค้าภายใน DPIIT โดยในช่วงปี 2564-2565 มีสตาร์ทอัพได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนเงินเริ่มต้นสำหรับสตาร์ทอัพ (SISFS) แล้ว มูลค่าประมาณ 2.2 พันล้านบาท และอินเดียยังเร่งพัฒนาระบบนวัตกรรมเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมรองรับการเติบโตของสตาร์ทอัพ ซึ่งดัชนีนวัตกรรมโลก 2022 (Global Innovation.Index 2022) ประเมินว่าอินเดียได้พัฒนาระบบนิเวศเพื่อสตาร์ทอัพให้ดีขึ้นจากอันดับที่ 81 ในปี 2558 เป็นอันดับที่ 40 ในปี 2565 โดยสามารถยกระดับได้ถึง 41 อันดับภายใน 7 ปีซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพของอินเดียที่จะปรับตัวเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 ได้ในไม่ช้า
ดังนั้นจากนโยบายของรัฐบาลอินเดีย ที่ออกมาเพื่อดึงดูดการลงทุน ทั้งการลงทุนใน 14 สาขา และการร่วมลงทุนกับสตาร์ทอัพจึงเป็นโอกาสที่นักลงทุนของไทย จะพิจารณาเข้าไปลงทุนในอินเดีย เพราะรัฐบาลอินเดียเปิดกว้าง และถือเป็นช่องทางลัดอีกทางหนึ่ง ในการบุกเจาะขยายตลาดอินเดีย
ที่ผ่านมา มีธุรกิจขนาดใหญ่ของไทยหลายรายเข้าไปลงทุนในอินเดียแล้ว ทั้งกลุ่มสินค้าอาหาร แปรรูป สัตว์น้ำ นม โยเกิร์ตพร้อมดื่ม ภาชนะและบรรจุภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ยางวัสดุก่อสร้าง เครื่องประดับ เฟอร์นิเจอร์ในครัวและในสำนักงาน ชิ้นส่วนยานยนต์และพลังงานแสงอาทิตย์ และภาคบริการ เช่น ธุรกิจค้าส่งธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และบริการทางธุรกิจสำหรับสตาร์ทอัพ รวมทั้งธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน และการขนส่งทางเรือและศูนย์กระจายสินค้า แต่ก็ยังมีโอกาสสำหรับสาขาที่ไทยมีศักยภาพอีกหลายสาขา เช่น โรงแรม บริการสุขภาพและความงาม บริการก่อสร้างและตกแต่ง ซึ่งสามารถนำสินค้าจากไทยมาใช้และจัดแสดงในกิจการเหล่านี้ได้ด้วย
นอกจากนี้ ยังมีช่องทางลัดในการขยายธุรกิจไทยในอินเดีย คือ การจัดตั้งบริษัทลูก เพื่อช่วยบุกเบิกและควบคุมกิจการในอินเดีย โดยเข้าไปถือหุ้นเพื่อควบคุมทิศทางและการบริหาร แต่อาศัยคนท้องถิ่นในการจัดการและดูแลบุคลากร ส่วนธุรกิจบริการ อาจพิจารณาใช้ระบบแฟรนไชส์ เป็นกลไกในการขยายสาขาในอินเดียได้อีกทางหนึ่ง ที่สำคัญ ควรจะหาผู้ร่วมลงทุนในอินเดีย โดยสามารถหาได้จากการเข้าร่วมงาน เช่น Global.Investors Summit 2023 ในแต่ละรัฐ โดยรัฐมัธยประเทศ และรัฐอุตตรประเทศ กำหนดจัดเดือนมกราคม 2566 และรัฐอานธรประเทศ เดือนมีนาคม 2566 เป็นต้น
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี