หลายปีมากมาแล้ว เพื่อนผู้เป็นกัลยาณมิตร 2-3 ท่านได้เอ่ยปากขอให้ผมเขียนอะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับเหตุการณ์เดือนตุลา เพื่อไม่ให้กาลเวลาทำให้ความทรงจำถูกทอดทิ้ง
ผมรับปากและเลือกเขียนถึง “ผู้คนแห่งเดือนตุลา” ในบางมุมเล็กๆ ที่ไม่ค่อยมีใครบันทึกไว้ในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ด้วยเหตุผลที่ว่าการเล่าเรื่องที่ยิ่งเล็กในเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่นั้นทำได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องอาศัยทฤษฎีอะไรมาวิเคราะห์มากมาย อีกประการหนึ่งเรื่องที่ยิ่งเล็ก คนพูดถึงก็ยิ่งน้อย จึงเป็นอานิสงส์แก่ผู้อ่านที่จะได้รับรู้เรื่องราวที่ไม่ค่อยมีคนพูดถึงกัน
ในครานั้น ผมเขียนถึงหนุ่มสาวชาวธรรมศาสตร์กลุ่มหนึ่งที่ช่วยกันนำปูนปลาสเตอร์ไปอุดรูกุญแจห้องสอบ และเอาโซ่ไปล่ามประตูลิฟท์แบบโบราณที่ตึกคณะศิลปศาสตร์ในค่ำคืนวันที่ 8 ตุลาคม 2516 เพื่อไม่ให้มีการสอบในวันรุ่งขึ้น จนสามารถระดมนักศึกษามาชุมนุมประท้วงให้รัฐบาลปล่อยตัวผู้ต้องหาเรียกร้องรัฐธรรมนูญทั้งหมดโดยไม่มีเงื่อนไข อันนำไปสู่การชุมนุมใหญ่ที่ลานโพธิ์ และเหตุการณ์ 14 ตุลาอันยิ่งใหญ่
เขียนถึงพ่อค้าแม่ค้าแถวท่าพระจันทร์ ท่าช้าง และปากคลองตลาดที่คอยส่งเสบียงอาหารไม่ว่าจะเป็นผัก ผลไม้ หรือข้าวห่อหลายร้อยเข่งมาให้ที่ชุมนุม รวมทั้งช่วยเหลือการหลบหนีของนักศึกษาประชาชนที่ถูกระดมยิงอย่างบ้าคลั่งมาทางหน้ามหาวิทยาลัยในเช้าวันที่ 14 ตุลาคม
เขียนถึงบรรดาทหารเรือ คุณหมอ และคุณพยาบาล รวมทั้งเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลศิริราชที่ช่วยรับนักศึกษาประชาชนที่หนีการระดมยิงจากหน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยามายังฝั่งโรงพยาบาล
เขียนถึงสองสามีภรรยาที่ช่วยพาผมกับเพื่อนนักศึกษาอีกคนหนีออกจากการไล่ล่าของทหาร ตำรวจ ไปส่งยังที่ปลอดภัยและเขียนถึงพี่วิทย์ กับ พี่หวัน ผู้เอื้ออาทรแห่งโรงพิมพ์เจริญวิทย์การพิมพ์ ตลาดบ้านพานถม บางลำพู ที่รับพิมพ์หนังสือก้าวหน้ามากมายของพวกเราในเวลานั้น
เรื่องราวทั้งหมดที่เขียนขึ้นครานั้น เป็นเรื่องราวของผู้คนแห่งเดือนตุลาในมุมเล็กๆ มุมหนึ่ง บนถนนสายใหญ่แห่งเดือนตุลาที่ผมได้สัมผัสมาโดยตรง เป็นผู้คนเล็กๆ ที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักหรือบันทึกไว้ แต่สำหรับผมแล้ว พวกเขาคือวีรชนที่แต่งแต้มสีสันและความสมบูรณ์ให้กับประวัติศาสตร์เดือนตุลาเช่นเดียวกับวีรชนอีกหลายคนที่เรารู้จัก เพียงแต่พวกเขาเป็นวีรชนนิรนามที่เดินเข้ามาในชีวิตเราพร้อมกับเหตุการณ์ และจากเราไปเมื่อเหตุการณ์สิ้นสุดลง
เฉกเช่นเดียวกับ “ปรีชา แซ่เซีย” วีรชนคนเล็กๆ อีกคนที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก แต่ผมรู้จักเขาเป็นอย่างดี น่าเสียดายตรงที่เขาจากเราไปอย่างทรมานและไม่มีวันกลับในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 หรืออีก 3 ปี ต่อจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516
การที่ตัดสินใจทำงานขีดๆ เขียนๆ แทนที่จะเป็นนักกฎหมายตามที่ร่ำเรียนมา ทำให้ผมได้มาพบและร่วมงานกับปรีชา วีรชนคนเล็กๆ อีกคนหนึ่งของเดือนตุลา แม้ว่าปรีชาจะไม่ได้ทำงานเขียนอย่างผมเลย
ผมเขียนหนังสือตั้งแต่เรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายที่สวนกุหลาบ และเขียนมากขึ้นเมื่อเข้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ด้วยมีรุ่นพี่ที่รู้จักมากมายเป็นนักเขียนอยู่ที่นั่น ในยุคก่อน 14 ตุลานั้น พวกเรานักศึกษาที่ชอบการเขียนหนังสือจะผลิตหนังสือเล่มละบาทออกขายให้เพื่อนนักศึกษาหน้ามหาวิทยาลัย จากนั้นก็ยกระดับมาออกหนังสือรายประจำ ตามแนวที่แต่ละคนถนัด
สำหรับผมไปช่วยทำหนังสือ รวมข้อคิดข้อเขียนของนักศึกษาประชาชน หรือที่รู้จักกันดีในเวลานั้นในชื่อหนังสือ “ลอมฟาง” ที่มีพี่สำเริง คำพะอุ รุ่นพี่นักศึกษาคณะเศรษฐศาสตร์ ที่ผมเชิญมาช่วยเขียนในคอลัมน์ “ราชดำเนิน อเวนิว” แห่งนี้เป็นหัวเรือใหญ่ หนังสือ “ลอมฟาง” ออกมาจนถึงปี 2517 จึงปิดตัวลงเพราะไม่มีทุนจะพิมพ์ต่อ พี่สำเริงไปเป็นบรรณาธิการนิตยสาร “ปิตุภูมิ” ซึ่งมีพรรคพวกออกทุนให้ ผมก็ติดสอยห้อยตามไปทำงานอยู่ในกองบรรณาธิการกับพี่สำเริง พอ “ปิตุภูมิ” ปิดตัวลงอีกด้วยเหตุผลเดียวกับ “ลอมฟาง” พี่สำเริงก็ไปทำงานในหนังสือพิมพ์ “เสียงใหม่” ที่มีพี่กำแหง ภริตานนท์ เป็นบรรณาธิการ ส่วนผมไปอยู่หนังสือพิมพ์ “ประชาธิปไตย” ของคุณณรงค์ เกตุทัต สักพักหนังสือพิมพ์ “ประชาธิปไตย” ก็ดึงตัวพี่สำเริงซึ่งเคยอยู่ “ประชาธิปไตย” มาก่อน กลับมาเป็นบรรณาธิการข่าว และนำคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ที่เพิ่งเดินทางกลับจากสหรัฐอเมริกาหมาดๆ เข้ามาเป็นบรรณาธิการบริหาร เวลานั้นบ้านเมืองเต็มไปด้วยสถานการณ์แห่งการลอบสังหารผู้นำนักศึกษา ผู้นำกรรมกร และผู้นำชาวนา ท่ามกลางกลิ่นอายการเมืองที่อบอวลไปด้วยบรรยากาศ “ขวาพิฆาตซ้าย” ของกลุ่มการเมืองฝ่ายขวาจัด พี่สำเริงกับผมก็ถูกยื่นซองขาวให้ออกพร้อมกับพี่ๆ และเพื่อนๆ นักข่าวและคอลัมนิสต์อีก 2-3 คน
การออกจากหนังสือพิมพ์ “ประชาธิปไตย” ทำให้ผมมีโอกาสใช้วิชาความรู้ที่เรียนมาเข้าเป็นอาจารย์สอนกฎหมายที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง พร้อมกับใช้เวลาว่างช่วยทำนิตสาร “เอเชียวิเคราะห์ข่าว” ไปด้วย
และ ณ ที่นี้เอง ที่ผมได้พบ “ปรีชา แซ่เซีย” กับคณะของเขา ซึ่งผมเรียกพวกเขาจนติดปากว่า “ลัก ก่น หยาง”
“ลัก ก่น หยาง” เป็นชายหนุ่ม 3 คน คนหนึ่งชื่อ ลัก คนหนึ่งชื่อ ก่น คนที่ชื่อ หยาง คือ ปรีชา แซ่เซีย พวกเขาทั้งสามมีพื้นเพเป็นผู้ใช้แรงงานมากกว่าปัญญาชน มีความขยันขันแข็ง ทรหดอดทน ซื่อตรง และรักความเป็นธรรม พวกเขามีหน้าที่จัดส่งนิตยสารไปตามเอเย่นต์ร้านหนังสือต่างๆ โดยผ่านบริษัทที่รับขนส่งสินค้าซึ่งตั้งอยู่แถววงเวียน 22 กรกฎา และเนื่องจากนิตสาร “เอเชียวิเคราะห์ข่าว” เป็นหนังสือเล็กๆ ของฝ่ายก้าวหน้า ไม่ได้มีทุนรอนอะไรมากมาย ไม่ต่างอะไรกับ “ลอมฟาง” หรือ “ปิตุภูมิ” ทีมงานของนิตยสารเล่มนี้จึงรู้จักรักใคร่และสนิทสนมกลมเกลียวกันเป็นอย่างดี
แม้การทำงานจะแทบไม่มีค่าจ้างค่าออนอะไร เพราะคนที่มาทำนั้นต่างมีงานประจำของตน และสละเวลาว่างมาช่วยกันทำด้วยใจรักและด้วยเห็นว่าควรต้องทำหนังสือดีๆ ออกมาให้ประชาชนได้อ่านในยามที่บ้านเมืองเต็มไปด้วยอิทธิพลของกลุ่มการเมืองขวาจัด ทั้งพรรคการเมืองฝ่ายขวา สถานีวิทยุยานเกราะ หนังสือพิมพ์ฝ่ายขวา กลุ่มนวพล กลุ่มกระทิงแดง และกลุ่มลูกเสือชาวบ้าน
“ลัก ก่น หยาง” ก็เข้ามาช่วยทำนิตยสาร “เอเชียวิเคราะห์ข่าว” ด้วยเหตุผลนี้
ในยามว่าง ผมเคยเห็นพวกเขานั่งคุยแลกเปลี่ยนสถานการณ์บ้านเมืองกัน ไม่เคยมีสักครั้งที่จะเห็นพวกเขาชวนกันไปเที่ยวในที่อโคจร หรือชวนกันกินเหล้าจนเมาหยำเปเหมือนเด็กหนุ่มในวัยเดียวกันอีกหลายคน ที่สำคัญพวกเขาไม่เคยขาดการเข้าร่วมชุมนุมทุกครั้งที่จัดขึ้นเพื่อต่อต้านเผด็จการและความไม่เป็นธรรมในสังคม
เย็นวันที่ 5 ตุลาคม 2519 ขณะที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีการชุมนุมประท้วงการกลับมาของ ถนอม กิตติขจร “ลัก ก่น หยาง” มาที่โรงพิมพ์เจริญวิทย์ บางลำพู เพื่อจัดนิตยสาร “เอเชียวิเคราะห์ข่าว” ที่เพิ่งพิมพ์เสร็จ มัดรวมกันเป็นห่อๆ ก่อนนำส่งบริษัทขนส่งสินค้าแถววงเวียน 22 กรกฎา ตามหน้าที่ที่เคยปฏิบัติ
เย็นวันนั้น ผมเสร็จงานจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง และมาช่วยพวกเขามัดหนังสือ หยางเห็นผมมัดไม่ได้เรื่อง เขาจึงสอนเทคนิคการมัดหนังสือให้แน่นและไม่แตกเวลาถูกจับโยนลงไปบนรถสิบล้อว่า ผมจะต้องผูกปมเชือกที่มัดไว้ตรงมุมใดมุมหนึ่งของห่อหนังสือ ปมเชือกที่มัดตรงมุมหนังสือจะแน่นและไม่เคลื่อนที่ โยนอย่างไรหนังสือก็ไม่หลุดไปจากห่อ นี่เป็นเทคนิคที่อาจารย์สอนกฎหมายไม่มีวันรู้!
เย็นย่ำวันนั้น มอเตอร์ไซค์ 3 คัน ของ “ลัก ก่น หยาง” ลำเลียงหนังสือจากบางลำพูไปยังวงเวียน 22 กรกฎา ผมนั่งซ้อนท้ายคันที่หยางขี่ พอส่งหนังสือเสร็จ มอเตอร์ไซค์ทั้ง 3 คันก็ดิ่งไปยังมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตลอดทางมีด่านตำรวจโบกมือให้หยุดเป็นระยะๆ
เมื่อมาถึงธรรมศาสตร์ “ลัก ก่น หยาง” เข้าร่วมชุมนุมในสนามฟุตบอลของมหาวิทยาลัย ส่วนผมขึ้นไปคุยกับเพื่อนอาจารย์ที่ห้องพักอาจารย์บนตึกคณะนิติศาสตร์ซึ่งอยู่ข้างสนามฟุตบอล ก่อนเที่ยงคืนวันนั้นผมตัดสินใจกลับบ้าน เนื่องจากรุ่งเช้าต้องไปทำงานที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง
แต่อนิจจา... ย่ำรุ่งของวันที่ 6 ตุลาคม “ลัก ก่น หยาง” และผู้ชุมนุมในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ชุมนุมกันอย่างสงบ ปราศจากการก่อการร้ายหรือใช้ความรุนแรงก็ถูกล้อมฆ่า!
มีการระดมยิงด้วยอาวุธสงครามทั้งปืนกล ปืนพก และเครื่องยิงลูกระเบิด M79 จากตำรวจทั้งตำรวจตระเวณชายแดน (ตชด.) ตำรวจหน่วยคอมมานโด ตำรวจหน่วยปฏิบัติการพิเศษ (นปพ.) และตำรวจท้องที่ เข้าไปในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อย่างเมามัน ขณะที่วิทยุยานเกราะก็ออกอากาศปลุกระดมให้ผู้คนเข้าไปฆ่านักศึกษาประชาชนที่ชุมนุมอยู่ โดยบิดเบือนว่าผู้ชุมนุมเป็นคอมมิวนิสต์และมีเจตนาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตกว่าหนึ่งร้อยคน บาดเจ็บหลายพันคน ที่โหดร้ายกว่านั้นคือ มีการข่มขืนนักศึกษาหญิงแล้วทำร้ายจนถึงแก่ความตายก่อนจะเปลื้องผ้าผู้เคราะห์ร้ายออกจากร่าง มีการจับผู้ชุมนุมออกไปแขวนคอ มีการเผาทั้งเป็น มีการกระทำทารุณกรรมต่อศพ เป็นต้นว่า เอาเก้าอี้ฟาด เอาเชือกมัดคอแล้วลากไปตามพื้น และมีการกระทำอนาจารศพ อย่างชนิดที่หาดูได้ยากในประวัติศาสตร์การทารุณกรรมต่อมนุษยชาติบนโลกใบนี้
ลัก กับ ก่น หนีออกมาได้ ส่วนหยางถูกรุมทำร้าย รายงานข่าวบอกว่าเขาเสียชีวิตเพราะ ”ถูกของแข็ง อาวุธหลายชนิด และถูกรัดคอ"
หลังจากนั้นไม่นาน ผมเดินทางเข้าป่า เช่นเดียวกับนักศึกษาประชาชนอีกเป็นจำนวนมากที่ถูกบังคับให้ต้องตัดสินใจเช่นนั้น ผมได้พบก่นที่สาธารณรัฐประชาชนจีน และต่อมาได้พบลักในประเทศไทย ทั้งสองเล่าให้ผมฟังว่า คืนนั้นพวกเขา 3 คน ร่วมชุมนุมกันอย่างสงบดังเช่นทุกคืนที่ผ่านมา เมื่อมีการระดมยิงเข้ามาในช่วงเช้า และมีผู้คนบุกเข้ามาไล่ฆ่าผู้ชุมนุมร่วมกับตำรวจ พวกเขาทั้งสามพยายามช่วยผู้ชุมนุมที่อยู่ข้างๆ ให้หนีไปได้ด้วยกัน เวลานั้นผู้คนแตกตื่นเบียดเสียดยัดเยียดจนไม่รู้ใครเป็นใคร หยางพยายามช่วยเพื่อนและช่วยตัวเองให้พ้นจากการถูกเข่นฆ่า แต่โชคร้าย เขาถูกคนเหล่านั้นทำร้ายและลากตัวไป
หยาง หรือ ปรีชา แซ่เซีย “ถูกของแข็ง ถูกอาวุธหลายชนิด และถูกรัดคอ" เขาเป็นหนึ่งในร่างที่ถูกลากไปตามพื้นของเช้าวันที่ 6 ตุลาคม 2519 หลังจากที่เขาส่งนิตยสาร “เอเชียวิเคราะห์ข่าว” ฉบับสุดท้ายให้กับผู้อ่าน
หยางจากไป 40 ปีแล้ว แต่เพื่อนๆ ไม่เคยมีใครลืมเขา ทั้งไม่เคยมีใครคิดว่า คนดีๆ อย่างหยาง ที่เคยแต่ใช้เชือกรัดห่อหนังสือให้แน่นด้วยการผูกปมไว้ตรงมุม เพื่อส่งไปให้ผู้อ่านทั่วประเทศ จะต้องมาถูกคนอื่นใช้เชือกรัดคอ แล้วลากไปตามพื้น
หยางจากไป 40 ปีแล้ว แต่คำสอนอันมีค่าของเขา ยังคงก้องกังวานอยู่ในโสตประสาทของผมมิรู้เลือน...
"ถ้าจะมัดอะไรให้อยู่ เราต้องผูกปมเชือกไว้ที่มุมใดมุมหนึ่งให้แน่น เพื่อไม่ให้มันเคลื่อนไปไหนได้”
4 ตุลาคม 2559
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี