ผมไม่เคยเชื่อเรื่องการปฏิวัติอย่างที่ “โลก” เคยประสบมา เพราะทุกการปฏิวัตินั้นล้มเหลวไม่เป็นท่า และมนุษย์ก็ผลาญฆ่ากันเองอย่างสูญเปล่ามาทุกยุคทุกสมัย และทุกการปฏิวัติ
การยึดมั่นถือมั่นในอุดมการณ์ - ลัทธิที่แตกต่างกัน นำมาซึ่งความแตกแยกขัดแย้งเสมอ แบ่งเขาแบ่งเราตามคำสอนของอุดมการณ์ – ลัทธินั้นๆ สุดท้ายเราก็ฆ่ากัน
แต่ไม่ว่าเราจะฆ่ากันล้มตายไปมากมายเพียงใด เราก็ยังไม่ได้ตระหนักอยู่ดีว่า ทุกการปฏิวัตินั้นไม่ได้นำพามนุษยชาติไปทางไหนเลย นอกจากฉุดคร่าลงนรกไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย
แน่นอนว่ามีฝ่ายที่ชนะ และทึกทักเอาว่านั่นคือ “ชัยชนะของการปฏิวัติ”
แต่จริงหรือว่าเป็น “ชัยชนะ”
เราชนะทางกายภาพ – ทางกำลังกาย แต่เราพ่ายแพ้ทางจิตใจ
อย่างแรก จิตใจเป็นได้แค่นักฆ่า มันถูกฉุดคร่าใจตกต่ำโสมม และป้อนเหยื่ออันหวานล้ำเพื่อลวงหลอกเราว่าเป็น “นักปฏิวัติ”
อย่างที่สอง ชัยชนะนั้นเป็นได้แค่การเริ่มต้นก้าวไปบนทางวิบากอันคดเคี้ยวและแหลมคม อยากที่จะไม่บาดเจ็บล้มตายต่อไปอีก เพราะมันเป็นเพียงชัยชนะ แต่หลังจากนั้นจึงเริ่มสู่กระบวนการปฏิวัติต่อไป ซึ่งก็ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าการบังคับกดขี่และกำจัดคนที่คิดเห็นแตกต่างจากตน
จิตใจเราไม่ว่าจะเป็นฝ่ายชนะหรือแพ้ เราก็ยังเป็นคนเดิม เพราะเราเป็นเพียงปุถุชน มีกมลสันดานที่ยากจะเปลี่ยนแปลง ดังนั้นเราจึงต้องการเปลี่ยนแปลงกมลสันดานของคนอื่นให้เป็นอย่างที่เราต้องการ ในนามอุดมการณ์ – ลัทธิ
แต่ไม่มีใครเปลี่ยนได้ง่ายๆ นักปฏิวัติเองก็เปลี่ยนตามอุดมการณ์ - ลัทธิที่ตนยึดมั่นถือมั่นไม่ได้
อุดมการณ์ – ลัทธิจึงเป็นแค่เพียง “สิ่งอ้างอิง” หรือ “แบรนด์เนม” ของสินค้าเท่านั้น
โลกนี้จึงไม่เคยพบการปฏิวัติที่สำเร็จดังคำคุยโตของมันสักครั้ง
การปฏิวัติภายนอกจึงล้มเหลวตลอดมา
มีเพียงการปฏิวัติภายในเท่านั้นที่จะเปลี่ยนแปลงกมลสันดานของตนได้ และโลกก็จะได้พบกับประสบการณ์ใหม่ของการปฏิวัติที่แท้
มันเป็นการปฏิวัติจิตใจตนเอง เพื่อก้าวให้พ้นจากปุถุชนสู่อริยบุคคล โดยไม่ต้องสูญเสียเลือดเนื้อ ไม่ว่าของใครหรือฝ่ายใด
สิ่งที่สูญเสียไปคือจิตใจที่มุ่งหมายจะปฏิวัติแต่ภายนอก ละลืมการปฏิวัติภายในของตน
การปรากฏขึ้นของการปฏิวัติภายในนั้น ได้นำมาซึ่งสันติสุขแก่ตนเองและสังคม
เจ้าชายสิทธัตถะก็มีพระประสงค์จะปฏิวัติสังคมเช่นกัน แต่พระองค์ไม่ได้ส่องสุมกำลังพล ไม่ได้ โฆษณาชวนเชื่อ ไม่ได้สะสมอาวุธ ไม่แบ่งฝ่าย ไม่เห็นคนที่คิดเห็นต่างเป็นสัตรู และมุ่งหมายจะใช้ความรุนแรงทำลายล้างฝ่ายตรงข้าม เพื่อชัยชนะ แล้วเรียกมันว่าการปฏิวัติ
พระองค์ทรงทราบดีว่า การปฏิวัติภายในเท่านั้นที่จะนำพาสันติสุขมาสู่ตนและสังคมอย่างแท้จริง จึงออกค้นหา “วิถี” เพื่อการปฏิวัติภายใน สุดท้ายพระองค์ก็ทรงค้นพบ และบรรลุถึงเป้าหมายที่ทรงตั้งพระหทัยไว้ นั่นคือสภาวะที่เรียกว่า “นิพพาน”
พระองค์ทรงปฏิวัติภายในสำเร็จด้วยพระองค์เอง เปลี่ยนไปแล้วจากปุถุชนเป็นอริยบุคคล จากนั้นก็ทรงเผยแผ่องค์ความรู้นั้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป จนมีสาวกมากมาย และส่งผลแห่งการปฏิวัตินั้นมาจนวันนี้
ไม่มีใครต้องเสียเลือดเนื้อ ไม่มีใครต้องเจ็บปวดสิ้นหวัง อย่างการปฏิวัติภายนอก
ชุมชนสงฆ์ของพระองค์ คือตัวอย่างที่เป็นจริงแห่งสังคมที่เรียกว่า “สังคมพระศรีอาริยะ”
และนั่นคือการปฏิวัติที่แท้ที่ปรากฏขึ้นในโลกครั้งแรกอย่างเป็นสากล
สังคมไทยในปัจจุบัน ยังมีผู้คนไม่น้อยที่สถาปนาตัวเองขึ้นเป็นนักปฏิวัติ และพยายามทุกวิธีที่จะปฏิวัติเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองของประเทศนี้ให้ได้ บ้างก็เป็นนักการเมือง บ้างก็ใช้กำลังอาวุธ พวกเขาทั้งหมดต่างประกาศกร้าวจะสร้างสังคมพระศรีอาริยะ ด้วยการแบ่งชนชั้น แบ่งฝ่าย แล้วปั่นหัวคนให้โกรธแค้นกัน เพื่อจะได้ทำลายล้างกันในที่สุด จากนั้นถ้าฝ่ายตนใกล้ถึงชัยชนะ พวกหัวโจกของนักปฏิวัติก็จะเข้าไปเป็นแกนนำ คว้าธงแห่งชัยชนะโบกไสว เพื่อประกาศแก่โลกว่าเขาคือผู้นำแห่งการปฏิวัติ
และสังคมไทยก็จะได้ผู้กดขี่รายใหม่ อย่างเดียวกับประเทศต่างๆทั่วโลกที่เคยปฏิวัติมาแล้ว (และต่างก็ล้มเหลวมาแล้วทั้งนั้น)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี