เปล่า! ผมไม่ได้หมายถึงการเดินขบวนต่อต้านหรือเรียกร้องรัฐบาลบนท้องถนนหรอกครับ แต่หมายถึง “ผล” ของระบอบประชาธิปไตย ที่มีความหมายแค่ “เลือกตั้ง”
ประชาธิปไตยในประเทศไทยนั้นมีการเลือกตั้งทุกระดับ ตั้งแต่ระดับชาติ ( ส.ส.) จนถึงระดับท้องถิ่นเล็กๆ (ส.อบต.) รวมทั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้านด้วย
ทุกระดับการเลือกตั้งนั้น ผู้สมัครต้องการคะแนนเสียงจึงต้องทุ่มเททุกอย่าง - ทุกวิธี เพื่อเอาชนะคู่แข่ง โดยเฉพาะการแจก - ซื้อ เพื่อเอาอกเอาใจผู้เลือกตั้งที่ทุกคนรู้กันดีอยู่แล้ว
มันเป็นขั้นตอนแรกของ “วิธีประชานิยม” เมื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งได้รับเลือกตั้งแล้วก็ต้อง “เอาอกเอาใจ” ผู้เลือกตั้งต่อ เพื่อผลในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ผลของการเอาอกเอาใจนั้นกลายเป็นปล่อยปละละเลย – เกรงใจ – รู้เห็นเป็นใจ ในที่สุดก็นำมาซึ่งการเอาแต่ใจตัวเองของผู้เลือกตั้ง ทำให้ปัญหาต่างๆตามมาอีกมาก
การเลือกตั้งในระดับท้องถิ่น ทั้ง อบจ. อบต. เทศบาล นั้นไม่เพียงสร้างปัญหาการเล่นพวกพ้อง การโกงกิน แต่ยังกลัวจะเสียคะแนนเสียงจากผู้เลือกตั้ง ไม่ต่างกับการเลือกตั้งระดับชาติ
เราทุกคนเมื่อเดินบน “ทางเท้า” ก็เคยเห็นการค้าขายที่ไม่เป็นระเบียบ มีการวางของขายบนทางเท้า ทั้งผู้ค้าขาจรและผู้ค้าที่ขายในคูหาของตนในอาคารพานิช ไม่เพียงวางของล้ำเข้ามาบนทางเท้า หลายพื้นที่ยังต่อเพิงยื่นออกมา ปูกระเบื้องบนทางเท้า ซ้ำแต่ละคูหาก็ยกพื้นต่างระดับกันอีก คนเดินบนทางเท้าไม่ระวังตัวก็มีอาจสะดุดล้มหรือบาดเจ็บได้
ส่วนคนเดินบนทางเท้านั้นไม่เพียงเดินไม่สะดวก บางพื้นที่ทางเดินทางถูกปิดกั้นด้วยตาข่ายเหล็ก หรือวางของเกะกะจนคนเดินไม่สามารถเดินได้ ต้องลงไปเดินบนถนน เสี่ยงให้ระเฉี่ยว - ชน บางทีก็ทะเลาะกับคนขับรถ
ปัญหาทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะพวกเจ้าของคูหานั้นต่างจับจองพื้นที่บนทางเท้าเป็นของตนเองทั้งนั้น
ทำไมพวกเขาจึงกล้าทำอย่างนั้น?
นั้นเพราะไม่มีคนกล้าใช้กฎหมายกับพวกเขา
ตำรวจก็ไม่กล้า พวกสมาชิกเทศบาล อบต. อบจ. ก็ไม่กล้า
กลัวจะเสียคะแนนเสียง!
กฎหมายไม่มีความหมายอะไร มันจะใช้ได้กับคนที่อ่อนแอเท่านั้น
ระบอบประชาธิปไตยจึงกลายเป็นสิทธิและเสรีภาพของคนบางคน - บางพวกไป แต่มันกลับจำกัดสิทธิและเสรีภาพของคนอื่น
ในกรณีการจับจองเป็นเจ้าของทางเท้านั้น มันคือการใช้สิทธิและเสรีภาพของคนส่วนน้อย ไปขัดขวาง จำกัด หรือทำลายสิทธิและเสรีภาพของคนส่วนใหญ่
ในระดับประเทศ บรรดาคนใหญ่คนโตในทำเนียบและในสภาก็ “ดีแต่พูด” มากกว่าจะแก้ปัญหาเหล่านี้
เพราะต้องการคะแนนเสียงเช่นกัน พวกสมาชิก อบจ. อบต. เทศบาลนั้นต่างก็เป็นหัวคะแนนชั้นดีของนักการเมืองระดับประเทศทั้งนั้น จึงไม่มีใครกล้าแตะใครนัก
ผมว่าพล.อ. ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรีตอนนี้ก็คงไม่กล้าแตะ เพราะต้องการหัวคะแนนและคะแนนเสียงของชาวบ้านเช่นกัน
สุดท้ายเราก็อยู่กันไปแบบอึดอัดขัดข้อง เรียกร้องจากใครไม่ได้ ผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ได้เป็นใหญ่เป็นโต มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายก็เห็นแก่ตัว คิดถึงแต่คะแนนเสียงของตัวเอง เก่งแต่เรื่องวางอำนาจ หลายคนกลายเป็น “คางคกขึ้นวอ” บ้างก็เป็น “สาวกของชูชก” อย่างเหลือเชื่อ
บนทางเท้าทั่วประเทศที่ถูกรุกล้ำและยึดครองนั้น มันประกาศว่าระบอบประชาธิปไตยของเราเป็นของปลอม เพราะมันเชิดชูบูชาอยู่แค่ “การเลือกตั้ง”
เพ้อเจ้อว่าการเลือกตั้งคือระบอบประชาธิปไตย หรือประชาธิปไตยคือการเลือกตั้ง
ส่วนสำนึกของเรากลับมีแต่เห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ ตามใจตัวเอง แล้วเรียกมัน “สิทธิและเสรีภาพ”
ทั้งที่นิยามของระบอบประชาธิปไตยนั้นหมายถึง “สิทธิและเสรีภาพที่จะรับผิดชอบสังคมร่วมกัน”
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี