ไม่น่าเชื่อว่า ประเทศอียิปต์ และจีน ซึ่งอยู่ห่างกันไม่น้อยกว่า 7 พันกิโลเมตร กลับมีวัฒนธรรมที่คล้ายคลึงกันหลายอย่าง อย่างแทบไม่น่าเชื่อ
จีน มีประเพณีฝังทรัพย์สมบัติต่างๆในหลุมฝังศพของจักรพรรดิ เพื่อให้จักรพรรดิสามารถนำไปใช้ในโลกหน้าได้ เช่นเดียวกับ ฟาโรห์ของอียิปต์โบราณ
(ผนังในสุดก็คือ ประตูปลอม วิญญาณออกมาจากประตูปลอมแล้วก็ต้องเดินลงบันได แท่นด้านขวาก็คือแท่นที่เชื่อกันว่า ใช้วางของที่จะถวายให้แก่วิญญาณผู้ตาย)
ว่ากันว่าในยุคแรกๆมีการเอาเนื้อสัตว์จริงๆที่เป็นอาหารไปไว้ในห้องบูชาในสุสาน เพื่อให้วิญญาณของฟาโรห์ ที่เรียกว่า บา สามารถเอาไปกินได้
แต่ในยุคหลังๆ อย่างเช่นในสุสานของตุตันคาเมน จากยุคอาณาจักรใหม่ ซึ่งเพิ่งจะขุดพบเมื่อเดือนพฤศจิกายน ปีค.ศ. 1922 กลับไม่พบซากของสิ่งมีชีวิตที่ฝังรวมอยู่ในสุสานเลย
(รูปสลักของเทพฮอรัส ที่วิหารเอ็ดฟู ในอียิปต์)
จะพบก็แต่เพียงขนมปังก้อนหนึ่ง ที่แข็งและเน่าจนกลายเป็นสีดำ
แสดงว่า ในยุคหลังๆไม่มีการฝังเนื้อสัตว์เอาไว้ในสุสาน เพื่อเป็นอาหารให้แก่วิญญาณของผู้ตายอีกแล้ว
คำถามก็คือ แล้ววิญญาณของผู้ตาย จะหาอาหารจากที่ไหนมากิน
นักบวชของอียิปต์โบราณ ต้องคิดหาวิธีแก้ปัญหาในเรื่องนี้ ซึ่งก็มาลงเอยด้วยการกำหนดรายละเอียดของพิธีกรรมในการถวายข้าวของเครื่องใช้ให้แก่ผู้ตายในสุสาน ด้วยวิธีการเขียนภาพ หรือแกะสลักภาพไว้บนผนังในห้องสุสาน
ตัวอักษรที่เขียน หรือแกะสลัก ทั้งบนประตูปลอม ที่ผนังห้อง จะระบุว่า ของที่นำมาถวาย หรือ บูชาแก่ผู้ตายประกอบด้วยอะไรบ้าง แกะกี่ตัว แพะกี่ตัว วัวกี่ตัว ไก่กี่ตัว และอื่นๆ จะถวายกี่ร้อยตัว กี่พันตัวก็เขียนระบุไปบนฝาผนังกำแพง
(บรรดาคนใช้ต่างก็ขนเอาสัตว์ต่างๆที่จะถวายให้แก่ผู้ตายเอามาที่สุสาน)
จากนั้นก็จะระบุชัดเจนว่า สิ่งของเหล่านี้นำมาเพื่อถวายแด่ เทพเจ้าชื่ออะไร หรือถวายแด่วิญญาณของผู้ตายชื่ออะไร และในนามของนักบวชผู้ทำพิธี
เห็นความคล้ายคลึงทางประเพณีของอียิปต์โบราณ กับ ประเพณีจีน และประเพณีทางศาสนาพุทธ บ้างมั้ยครับ
ด้วยเหตุนี้ นักบวชในยุคอียิปต์โบราณจึงค่อนข้างจะมีบทบาท และอิทธิพลอย่างมากในสังคม เพราะเปรียบเสมือนผู้ผูกขาดทำหน้าที่ติดต่อ หรือเป็นตัวเชื่อมระหว่างเทพเจ้า กับมนุษย์แล้ววิญญาณของผู้ตายจะเอาข้าวของ อาหารการกินต่างๆที่ญาติอุทิศให้ด้วยการเขียนเอาไว้บนผนัง หรือ แกะสลักเอาไว้บนผนังไปใช้ได้อย่างไร
เรื่องนี้ นักบวชได้ช่วยจัดการแก้ปัญหาให้อย่างเรียบร้อยแล้ว
เพราะบนผนังเหล่านี้ จะปรากฏรูปดวงตาข้างหนึ่งอยู่ด้วย เป็นดวงตาที่เชื่อกันว่าเป็นของ เทพฮอรัส(HORUS) ผู้ซึ่งเป็นโอรสของเทพโอไซริส(OSIRIS) กับ เทพี ไอซิส(ISIS)
(ดวงตาของเทพฮอรัส – ภาพจากอินเตอร์เน็ต)
ตามตำนานของอียิปต์โบราณเชื่อว่า ดวงตาของเทพฮอรัสนี้เป็นดวงตาวิเศษ เป็นดวงตาแห่งการรักษา และเป็นดวงตาแห่งเวทมนต์
ทำไมถึงมีดวงตาของฮอรัส เพียงข้างเดียว เรื่องนี้ค่อนข้างจะยาว หากสนใจแนะนำให้ร่วมเดินทางเจาะลึกอียิปต์กับผม ซึ่งออกเดินทางทุกเดือน คือ 11 – 20 ตุลาคม , 1 – 10 พฤศจิกายน และ 6 -15 ธันวาคม สนใจติดต่อ 02 651 6900 หรือ 088 578 6666 หรือ ID Line 14092498
ด้วยดวงตาข้างเดียวข้างนี้ของเทพฮอรัสนี่เอง วิญญาณของผู้ตายจะใช้ในการอ่านเวทมนต์ต่างๆ เพื่อเสกให้ภาพแกะสลักต่างๆบนผนังห้อง ไม่ว่าจะเป็นอาหาร หรืออะไรก็แล้วแต่กลายเป็นจริงขึ้นมา เพื่อวิญญาณจะได้นำเอาไปบริโภคได้
ทั้งนี้เพื่อย้ำว่า สิ่งของที่นำมาถวายให้แก่วิญญาณของผู้ตายทั้งหมดที่อยู่บนผนังห้อง จะไม่เป็นการสูญเปล่า ผู้ตายจะได้นำเอาไปใช้ในโลกหน้าแน่นอน
ก็คงจะไม่ต่างอะไรกับการที่ลูกหลานคนจีนทำกงเต็ก เผากระดาษรูปต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคฤหาสถ์ใหญ่โต รถเบนซ์คันใหญ่ ธนบัตรจำนวนมหาศาล และแม้กระทั่งบัตรเครดิตไปให้แก่บรรพบุรุษของพวกเขาเอาไว้ใช้ในโลกหน้า
แล้วใครจะยืนยันได้ว่า บรรพบุรุษของพวกเขาได้รับจริงหรือไม่
เรื่องนี้คงไม่จำเป็นต้องยืนยัน ทำแล้วสบายใจก็ทำไป มนุษย์ไม่เคยเปลี่ยนเลยแม้เวลาจะผ่านไปกว่า 4 พันปีแล้วก็ตาม
สวัสดีครับ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี