สัปดาห์ที่แล้ว...ข่าวที่สร้างกระแสความสนใจได้แพร่หลายมากที่สุดก็คือ “มติครม. ว่าด้วยการขึ้นทะเบียนหมาแมว” ซึ่งเป็นธรรมดาที่ต้องมีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย คนที่เห็นด้วยนั้นมักจะไม่ได้เลี้ยงหมาแมว บ้างก็เลี้ยงน้อยและสามารถ “จัดการ” หมาแมวของตนได้ดีอยู่แล้ว ส่วนคนที่ไม่เห็นด้วยนั้นส่วนมากก็เลี้ยงหมาแมวและเลี้ยงแบบกึ่งปล่อย รวมทั้งเลี้ยงแบบตามยถากรรมด้วย
ผมแสดงความเห็นไว้ในเฟซบุ๊คตอนที่ข่าวนี้ปรากฏว่า “ถ้าคิดไม่ครบถ้วนทั้งระบบ ไม่สมดุล ทั้งคน ทั้งสัตว์ ทั้งเงิน ปัญหาจะตามมาเพียบ และรัฐบาลก็จะเดี้ยงเพราะสัตว์” (สามวันต่อมาก็เดี้ยงจริง!)
ตามด้วยความเห็นในหัวข้อที่ชื่อว่า “ รีดเลือดกับสัตว์"
“หมา-แมว เป็นสัตว์นำร่องของรัฐบาลที่จะให้มีการขึ้นทะเบียน...
ต่อไปก็จะถึงคิวสัตว์เลี้ยงอื่นๆ (ดูว่าตามบ้านมีสัตว์เลี้ยงอะไรบ้าง) ถ้ามิติ ครม. ครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากสภาฯจนเป็นกฎหมาย สิ่งที่ผมเห็นตามมาก็คือ ในท้องถิ่น...เจ้าหน้าที่ อบต.และเทศบาล คงคอยสอดส่องตามบ้านเรือนกันขะมักเขม้น ว่าใครเลี้ยงสัตว์อะไรบ้าง ขึ้นทะเบียนหรือยัง ไม่ขึ้นทะเบียนก็จ่ายค่าปรับซะดีๆ
เพราะเพดานค่าปรับสูงถึง 25,000 บาท!
และเงินค่าขึ้นทะเบียนกับค่าปรับก็เข้ากระเป๋าขององค์กรส่วนท้องถิ่นนั้นๆ สงสารชาวบ้านตาดำๆ ที่เลี้ยงหมาไว้เฝ้าบ้าน - เป็นเพื่อน (ที่ส่วนมากก็มาขออยู่เอง) จะเอาเงินที่ไหนไปเป็นค่าขึ้นทะเบียน ถ้าเป็นกฎหมายออกมาก็คงมีคนเอาไปปล่อย ...สงสารหมาที่จะไม่มีใครเลี้ยง
แล้วจะทำอย่างไรกับหมาที่ถูกปล่อย รวมทั้งหมาจรจัดที่มีอยู่เดิมด้วย?
หรือจะแก้ปัญหาด้วยการฆ่าเหมือนในประเทศที่ "เจริญแล้ว"
แมวนั้นนิสัยไม่เหมือนหมา เดี๋ยวมาเดี๋ยวไป บ้างก็หายไป เดี๋ยวตัวใหม่ก็เข้ามาขออยู่แทน บางทีตัวแม่ก็คาบตัวลูกมาให้เลี้ยงด้วย!
เสียค่าขึ้นทะเบียนไม่นาน มันหายไปแล้ว
ผมจะปล่อยปลาหางนกยูงลงแม่น้ำไว้ก่อน คิดดูดิ้...ต่อไปถ้ามีกฎหมายให้ขึ้นทะเบียนปลาสวยงามและนก จะต้องเสียค่าขึ้นทะเบียนเท่าไหร่?
ถ้าค่าขึ้นทะเบียนปลาสวยงามตัวละ 450 บาทเท่ากับหมาแมว ผมคงหมดตัว เพราะมีเต็มอ่าง! (แม้ผมจะพูดแบบประชด แต่อย่าดูแคลนรัฐบาลว่าหน้าไม่ด้าน)
ผมไม่ต้องการให้รัฐบาลรีดเลือดกับสัตว์ โดยคนเลี้ยงต้องหาเงินจ่ายให้พวกหากินกับสัตว์.”
วันต่อมาผมเขียนเป็นบทความ “หมาแมวและกฎหมาย” พร้อมกับกระแสการวิพากษ์วิจารณ์ที่สูงขึ้นอีก ดังนี้
ใครไม่อยากให้สังคมไทยเป็นระเบียบ ปลอดภัย สวยงามบ้าง?
ไม่มีใครบ้าบอกไม่อยากหรอก...
“มติ ครม.” เรื่องหมาแมวก็เช่นกัน เป้าหมายก็เพื่อจะ "กระชับพื้นที่” หรือ “ควบคุมประชากรหมาแมว” และจะตามมาด้วยสัตว์เลี้ยงอื่นๆที่เลี้ยงกันไว้เพื่อความบันเทิงด้วย
(ใครที่ไม่เลี้ยงหมาแมว แต่เลี้ยงสัตว์อื่นเพื่อความบันเทิงก็ลองคิดถึงคนที่เลี้ยงหมาแมวด้วย)
ถามว่าดีไหม? ผมก็ยังไม่วิปลาสพอที่จะตอบว่าไม่ดี แถมยังต้องการให้ทำมาตั้งแต่ชาติที่แล้วด้วย
แต่ปัญหาของผม(คนเดียว) ก็คือ เมื่อใดที่ร่างกฎหมายนี้ออกมาบังคับใช้ (บางทีแค่ร่างกฎหมายนี้อยู่ในสภาฯ) ชาวบ้านก็จะปล่อยหมาแมวกันแล้ว แม้ไม่ปล่อยก็จะไม่ยอมรับว่าเป็นของตัว บ้านที่มีรั้วไม่เป็นปัญหา แต่ในชุมชนที่บ้านเรือนอยู่กันหนาแน่นหรือระเกะระกะนั้นมีปัญหาอย่างที่ผมว่า ไม่มากก็น้อย
เพราะไม่อยากเสียเงินค่าลงทะเบียน
ประการสำคัญก็คือ ไม่มีเงินจะเสีย แค่ดิ้นรนหาเช้ากินค่ำก็แทบไม่พอแล้ว
ชาวบ้านในชุมชนทั่วไปนั้นไม่ได้เลี้ยงหมาแมวกันแค่ตัวสองตัวอย่างบ้านที่มีรั้ว แต่เป็นสิบๆตัว และวิธีการเลี้ยงก็ไม่ได้เหมือนบ้านที่มีรั้ว และยิ่งเทียบไม่ได้เลยกับบ้านคนรวยๆที่ต้องนำหมาแมวเข้าคลินิกเป็นประจำ
ชาวบ้านไม่ว่าในเมือง ชานเมือง หรือในชนบท ส่วนมากก็เลี้ยงแบบ “มีก็กิน ไม่มีก็ไม่ต้องกิน” บางคนมีเมตตาก็ขวนขวายหามาให้กิน เมื่อหมากินไม่อิ่ม มันก็ออกหากินถ้าไม่กลัวเจ้าถิ่น ซึ่งอาจจะอยู่ถัดไปแค่เสาไฟฟ้าเดียว กลายเป็นหมากึ่งจรจัด หาเจ้าของแน่นอนไม่ได้
ซ้ำมันยังออกลูกกันทุกฤดู
ถามว่าเมื่อสภาพการเลี้ยงหมาแมวของชาวบ้านเป็นอย่างที่ผมว่ามา อบต. และเทศบาลจะมีวิธีลงทะเบียนและเก็บเงินได้อย่างไร? และจะได้เงินแค่ไหน?
ซ้ำยังต้องปวดหัวกับหมาแมวที่ถูกเจ้าของปฏิเสธและปล่อยปละละเลย หรือเอาไปทิ้งต่างถิ่น (ไม่งั้นมันจะกลับมาบ้านอีก)
(ใครที่อ้างกฎหมายของประเทศในยุโรปที่เก็บภาษีหมา หรือใครที่ลอยหน้าพูดเสียดสีว่า “ถ้าเงินค่าลงทะเบียนแค่นี้ไม่มีปัญญาเสีย จะมีปัญญาเลี้ยงหมาได้อย่างไร” ผมก็ขอเสนอว่าถ้าไม่แหกตาดูสภาพความเป็นจริงก็ควรหุบปาก ถ้าพูดออกมาแล้วก็ควรตบปากตัวเองเสียด้วย)
เมื่อรัฐบาลถอนเรื่องนี้ไปแล้ว จะแก้ปัญหาหมาแมวยังไง?
มันแก้ได้ ก็แก้อย่างที่มติ ครม. อ้างเหตุผลไว้นั่นแหละ
แก้ด้วยสำนึกรับผิดชอบของหน่ายงานที่รับผิดชอบ คือ อบต. และเทศบาล...เข้าไปในพื้นที่ของตน ซึ่งส่วนมากก็คนคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว บ้านไหนเลี้ยงหมาเลี้ยงแมวกี่ตัว รวมทั้งสัตว์อื่นที่รัฐบาลนี้เล็งไว้จะให้ลงทะเบียนต่อไปด้วย ก็ทำทะเบียนประวัติ ตามมาด้วยการควบคุมดูแลเรื่องวัคซีน ทำหมัน เป็นต้น ก็จะค่อยๆลดประชากรหมาแมวไปเองอย่างเป็นปรกติ
ถามว่าจะเอาเงินมาจากไหน เมื่อไม่ได้เก็บเงินจากเจ้าของหมาแมว?
คำตอบก็คือ เงินภาษีในท้องถิ่นนั่นแหละ ถ้าไม่มี มีไม่พอ ก็ประชุมสุมหัวกันเข้า ว่าคนที่เลี้ยงหมาแมวควรจะเสียค่าบริการเท่าไหร่ รวมไปถึงหมาจรจัดในท้องถิ่นของตนด้วยว่าจะจัดการอย่างไร (แมวไม่มีปัญหามากนัก)
ร่วมด้วยช่วยกันคิด ช่วยกันทำในชุมชน ไม่ต้องมีกฎหมายมาคอยกดหัวหรือบังคับให้ทำก็ได้
ไม่ใช่คิดอย่างรัฐบาล(ทุกรัฐบาล)...คิดอะไรไม่ออกก็ใช้กฎหมาย
“สังคมประชาธิปไตย” ไม่ได้หมายถึงต้องมีกฎหมายมากๆ แต่ตรงกันข้าม ต้องมีกฎหมายน้อยๆ เพราะมันแสดงออกถึง “สำนึกของประชาชน” ที่จะร่วมมือกันโดยไม่ต้องผ่านอำนาจรัฐส่วนกลาง
"กฎหมายนั้นคือการบังคับและลงโทษ" มีมากเท่าไหร่ก็ยิ่งบังคับ - ลงโทษ - กดขี่ประชาชนเท่านั้น แม้ว่ามันจำเป็นต้องมีก็ตาม
แต่สุดท้าย “สังคมที่ถูกควบคุมและครอบงำสำนึกด้วยกฎหมาย” ก็จะกลายเป็นสังคมที่ถูกตั้งโปรแกรม(ด้วยกฎหมาย) กลายเป็นสังคมหุ่นยนต์...ที่อึดอัดคับข้องใจและสะสมรอวันระเบิด
สรุปว่า 1) แม้ไม่มี “กฎหมายหมาแมว” บังคับใช้ อบต. และเทศบาลก็สามารถทำได้เลย ถ้ามีสำนึกรับผิดชอบจริง
2) การร่วมกันคิด ร่วมกันทำ ร่วมกันแก้ปัญหาของคนในชุมชนนั้นคือประชาธิปไตยทางตรง เป็น “ประชาธิปไตยที่แท้”
ไม่จำเป็นต้องมีกฎหมายที่คอยประจานว่าชุมชนของตนปกครองดูแลตนเองไม่ได้ แม้แต่เรื่องหมาแมว แม้จะมีตัวแทนของตน (อบต.และเทศบาล) ก็เดี้ยง ทำได้แค่เก็บภาษี กินเลี้ยง พาเที่ยว ดูงาน ซ่อมถนน แจกลูกรังแก่ชาวบ้าน (ที่ทำดีๆก็มี)
ผมอยากให้ทำทะเบียนหมาแมวมานานแล้ว รวมทั้งชำระสะสางเรื่องสัตว์ป่า – สัตว์สงวนที่แอบเลี้ยงกันตามบ้านตามวัดด้วย
แต่ไม่เห็นด้วยที่จะ “ตีแตนให้แตกรัง” ด้วยกฎหมายหน้าเงิน.”
ตอนนี้เจ้าของเรื่องคือ “กรมปศุสัตว์” ประกาศว่าจะทำเรื่องนี้เป็นกฎหมายให้ได้ ขณะเดียวกัน สมาชิก สนช. คนหนึ่งก็บอกว่าจะพิจารณาเรื่อง “เงิน” ค่าขึ้นทะเบียนและค่าปรับที่ตั้งเพดานไว้สูงเกิน...สรุปว่าเรื่องหมาแมวยังไม่จบ มันกลายเป็นวาระแห่งชาติหมาแมวไปแล้ว!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี