ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี วลีของรุสโซ ก็ยังคงทันสมัยอยู่เสมอ เขาบอกว่า “มนุษย์เกิดมาเสรี แต่ทุกหนทุกแห่งเขาถูกพันธนาการ”
ถูกพันธนาการเพราะ “ยึดมั่นถือมั่น”
หรือเพราะยึดมั่นถือมั่นจึงถูกพันธนการ
หรือการยึดมั่นถือมั่นก็คือพันธนาการ
ชีวิตปุถุชนนั้นไม่มีใครมีอิสรภาพไปได้ เพราะถ้ามีอิสรภาพจริงก็ไม่เรียกว่าปุถุชน แต่เรียกว่าอริยบุคคล
คำว่า “อิสรภาพ” นี้หมายถึงอิสรภาพทางใจ อิสระจากการยึดมั่นถือมั่น เป็นอิสระจากกิเลสตัณหาทั้งปวง เป็นผู้บรรลุธรรม
ไม่ว่ารุสโซตั้งใจจะให้นิยามของวลีข้างตนว่าอย่างไร ผมก็เห็นว่านำไปใช้กับเรื่องอะไรก็ย่อมได้ ขึ้นอยู่ที่การตีความของผู้นำไปใช้
รุสโซเป็นนักปรัชญาการเมือง – สังคม ผมก็จะพูดในแง่มุมของการเมืองที่สังคมไทยกำลัง “รบ” กันอยู่ โดยเฉพาะในช่วง 3 วันมานี้ นั่นคือเรื่อง “เพลงแร็พ”
ผมไม่ได้พูดว่าใครผิดใครถูก เนื้อเพลงเป็นอย่างไร แต่จะพูดในประเด็นของวลีที่ผมยกมาข้างต้น
นั่นคือเรื่อง “พันธนาการ”
สภาพการเมืองในประเทศไทยตอนนี้แบ่งเป็น 4 ฝ่าย ฝ่ายแรกคือฝ่าย “อนุรักษนิยม” ที่เชิดชูพระมหากษัตริย์ ศาสนา ขนบธรรมเนียม ประเพณี
ฝ่ายที่ 2 คือฝ่าย “เสรีนิยม” ผสมกับพวก “คอมมิวนิสต์” ฝ่ายนี้อยู่ตรงกันข้ามกับฝ่ายแรก อะไรที่ฝ่ายแรกต้องการธำรงรักษาไว้ ฝ่ายนี้ไม่เอาทั้งนั้น พวกเขาต้องการสร้างสังคมใหม่!
ฝ่ายที่ 3 คือฝ่าย “กลางๆ” ไม่ใช่ความหมายเดียวกับ “มัชฌิมาปฏิปทา” แต่กลางๆทางความคิดเห็น บางเรื่องก็คิดเห็นไปทางฝ่ายที่ 1 บางเรื่องก็คิดเห็นมาทางฝ่ายที่ 2 และหลายๆเรื่องก็คิดเห็นอย่างเป็นตัวของตัวเอง
ฝ่ายที่ 4 คือฝ่าย ที่ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจกับเหตุการณ์ความเป็นไปในบ้านเมือง ฝ่ายนี้สนใจเรื่องอื่นๆ อย่างเรื่องการทำมาหากิน เรื่องกิน เรื่องเที่ยว เรื่องบันเทิง เหตุผลของพวกเขาก็คือ การเมืองเป็นเรื่องน่าเบื่อ ไร้สาระ บางคนก็มองไม่เห็นอนาคตของการเมืองไทย เขาบอกว่า “แม่งก็โกงกันทั้งนั้น” หลายคนก็ไม่รับรู้อะไรเลย
ฝ่ายที่เป็นปัญหาในบ้านเมืองอยู่ในปัจจุบันนี้ก็คือ ฝ่ายที่ 1 กับฝ่ายที่ 2 เพราะทั้ง 2 ฝ่ายได้ตั้งตัวเป็นศัตรูกันมานานแล้ว นับแต่ยุคทักษิณครองอำนาจประเทศ และมันจะรุนแรงต่อไป แม้วันหน้าจะแตกหักกันไปแล้วหรือฝ่ายไหนชนะ ก็จะยังมี “เชื้อไฟ” ต่อไป เช่นเดียวกับที่มีเชื้อมานับแต่ยุคคณะราษฎรจนมาปะทุในช่วง 10 ปีมานี้
รัฐบาล คสช. เคยตั้งคณะกรรมการเพื่อสร้างความปรองดอง (ซึ่งผมไม่เห็นด้วยมาแต่แรก เพราะมันจะไม่สำเร็จ) มาถึงวันนี้ก็ได้กลายเป็น “คู่สงคราม” กับฝ่ายที่ 2 เรียบร้อยแล้ว จึงยิ่งยากที่ทั้ง 2 ฝ่ายจะฟังกัน ซ้ำยังมีคนขู่อีกด้วยว่าหลังเลือกตั้งจะนองเลือด ถ้าฝ่ายตนแพ้! เพราะถูกโกง
“เพลงแร็พ” ของฝ่ายที่ 2 นั้นเป็นอาวุธชนิดหนึ่งที่เข้าฟาดฟันฝ่ายตรงข้าม แน่นอนว่าฝ่ายตรงข้ามก็ต้องออกมาสู้ด้วยการตอบโต้อย่างรุนแรง ผลนั้นไม่มีใครแพ้ใครชนะ เพราะมันแค่การรบอีกครั้งหนึ่ง สงครามนั้นต้องรบกันหลายครั้งและใช้เวลายาวนานกว่าจะรู้ผลเด็ดขาด (แต่ก็ครองชัยชนะได้ไม่นานหรอก)
แต่ไม่ว่าฝ่ายไหนจะชนะย่อมสูญเสียด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย อย่างที่เคยสูญเสียมาแล้วนับแต่เริ่มมี “อุดมการณ์การเมือง” หรือยึดมั่นถือมั่น “ลัทธิการเมือง” ที่แตกต่างกัน
ในมุมมองของความยึดมั่นถือมั่น ต่างก็ยึดมั่นถือมั่นด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย
ปุถุชนอย่างเรายากที่จะไม่ยึดมั่นถือมั่นได้ เพียงแต่ว่าถ้ายึดมั่นถือมั่นมากเกินไปก็จะนำมาซึ่งผลร้ายแก่ตัวเองและคนอื่นๆ เพราะเราจะไม่ยอมฟังใคร เราจะเชื่อว่าเราเท่านั้นที่ “ถูกต้อง”
แต่ถ้าเราคิดว่าไม่มีใครถูกต้องเสมอไป เราจะยอมรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างจากเรา แต่ที่ผ่านมาเรา “ไม่ฟัง” กัน ซึ่งผมก็เห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาของคนที่อยู่ใน “สนามรบ” ใครจะมาฟังความคิดเห็นของอีกฝ่ายเล่า
มีแต่บุกตะลุยเข้าฟาดฟันฝ่ายตรงข้ามให้บรรลัยเร็วที่สุด
การที่เราไม่ยอมรับฟังความเห็นของอีกฝ่ายนั้นเพราะเราถูกพันธนาการไว้กับความคิดเห็นหรือความเชื่อของเรา ผลสุดท้ายเราจะเจ็บปวดด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย
ผมไม่มีทางออก ไม่มีข้อเสนออะไร แค่อยากจะบอกว่า ไม่ว่าเราจะยึดมั่นถือมั่นอะไรไว้ มันจะพันธนาการเราไว้ เราจะไม่มีอิสรภาพทางใจ จะไม่มีพื้นที่ของชีวิต ซ้ำมันจะชักนำเราเข้าสู่สงครามอย่างยากที่จะต้านทานได้
ศัตรูที่ยิ่งใหญ่ไม่ใช่คนอื่น แต่คือความยึดมั่นถือมั่นของเราเอง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี