ช่วงที่หัวหน้าแมซซาซอยต์เป็นหัวหน้าใหญ่ของอินเดียนแวมพาโนค ชาวอาณานิคมอยู่ดีมีสุขจึงขยายอาณานิคมมากขึ้นและกว้างขึ้น โดยที่หัวหน้าแมซซาซอยต์ยินยอม ลูกชายของแมซซาซอยต์เองก็นิยมชมชอบพวกอาณานิคมผิวชาวเหล่านี้ โดยเฉพาะลูกชายทั้งสองคนของแมซซาซอยค์ คือแวมสุตตาและเมตาโคม หรือเมตาโคเมต ในปีค.ศ.1660 ลูกชายทั้งสองของแมซซาซอยต์คือแวมสุตตาและเมตาโคม เดินทางไปที่อาณานิคมพลีมัธ เพื่อยื่นคำร้องขอเปลี่ยนต่อศาลแห่งพลีมัธ
ดังนั้นแวมสุตตาจึงเปลี่ยนชื่อเป็นอเล็กซานเดอร์ ส่วนเมตาโคมเปลี่ยนชื่อเป็นฟิลลิป หากไม่นิยมชื่อแบบชาวอังกฤษลูกชายของแมซซาซอยต์คงไม่เปลี่ยนชื่อเป็นอังกฤษเช่นนี้ โดยเฉพาะเมตาโคมที่สั่งซื้อเสื้อผ้าแบบชาวตะวันตกจากบอสตันอีกต่างหาก แสดงถึงความนิยมอังกฤษอย่างชัดเจน เมื่อแมซซาซอยต์เสียชีวิต แวมสุตตาหรืออเล็กซานเดอร์ขึ้นเป็นหัวหน้าแทน แต่เป็นหัวหน้าเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ก็เสียชีวิต เมตาโคมหรือฟิลลิปจึงขึ้นเป็นหัวหน้าเผ่าในปี ค.ศ.1662 ตอนระยะเวลาหลายสิบปีที่ชาวอาณานิคมกับอินเดียนแดงแวมพาโนคเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ชาวอาณานิคมขยายดินแดนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อสร้างอาณานิคมพลีมัธเสร็จสมบูรณ์ ชาวอังกฤษก็หลั่งไหลมาอยู่ในอาณานิคมแห่งนี้อย่างไม่ขาดสาย เรือลำแล้วลำเล่าบรรทุกชาวอังกฤษมาแน่นทุกเที่ยว มาจอดเทียบท่าในนิวอิงแลนด์ อาณานิคมขยายตัวอย่างรวดเร็ว มีการตั้งเมืองใหม่ ๆเรียงรายตามชายฝั่ง และรุกเข้ามายังเขตแดนของอินเดียนแดงทุกเผ่า ทำให้ขอบเขตที่อยู่อาศัยของอินเดียนแดงลดน้อยลงเรื่อยๆ เพราะมีการขยายอาณานิคมและที่ดินเพาะปลูกออกไปเรื่อยๆ เช่นกันแนวความคิดเรื่องที่ดินของอินเดียนแดงกับชาวอาณานิคมแตกต่างกัน อินเดียนแดงไม่ถือครองหรือครอบครองที่ดินใดๆ เพราะความเชื่อแบบอินเดียนแดง ทุกตารางนิ้วคือแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์
อินเดียนแดงให้ความเคารพธรรมชาติ จึงพยายามใช้ชีวิตกลมกลืนกับธรรมชาติที่สุด และใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างสำนึกบุญคุณ อินเดียนแดงเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างในธรรมชาติเป็นพี่น้องกับอินเดียนแดงทั้งสิ้น จึงไม่ครอบครองผืนดินใดๆ ตรงข้ามกับชาวอาณานิคมที่รากฐานเดิมมาจากอังกฤษ อันมีระบบคิดอีกแบบชาวอาณานิคมมองว่า การเป็นเจ้าของที่ดินคือการได้จับจองครอบครอง ทุกอย่างมีมูลค่าทางเศรษฐกิจทั้งสิ้น ดังนั้นชาวอาณานิคมจึงมุ่งหน้าจับจองผืนดินทำกิน โดยการแลกเปลี่ยนหรือซื้อขาย จึงพยายามบังคับหรือออกอุบายให้แมซซาซอยต์ขายที่ดินให้แก่ตน เมื่อหัวหน้าแมซซาซอยต์เสียชีวิตในปี ค.ศ.1660 ผู้ว่าการอาณานิคมก็เปลี่ยนคนรับตำแหน่งไปเรื่อยๆ
จากผู้ว่าการอาณานิคมคนแรก ซึ่งเลือกกันบนเรือเมย์ฟลาเวอร์คือ จอห์นคาร์เวอร์ ตามมาด้วยวิลเลี่ยมแบรดฟอร์ด วิลเลี่ยมแบรดฟอร์ด ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการอาณานิคมอย่างต่อเนื่องยาวนานมากคือตั้งแต่ปี ค.ศ.1621 ไปจนถึงปี ค.ศ. 1632 เมื่อวิลเลี่ยมพ้นตำแหน่งเอ็ดเวิร์ด วินสโลว์ ก็มาทำหน้าที่แทน คั่นกลางด้วยโทมัส เพรนซ์ (Thomas Prence) แค่หนึ่งปีแล้ววิลเลี่ยมแบรดฟอร์ด ก็ได้รับเลือกกลับมาอีกในช่วงที่หัวหน้าแมซซาซอยต์ยังมีชีวิต อยู่ชาวอาณานิคมรุ่นบุกเบิกทั้งสามคนคือ วิลเลี่ยมแบรดฟอร์ด เอ็ดเวิร์ดวินสโลว์ และโทมัสเพรนซ์ สลับกันได้รับเลือกเป็นผู้ว่าการอาณานิคม
จนกระทั่งถึงปี ค.ศ.1672 คนรุ่นใหม่ที่ไม่ใช่ชาวอาณานิคมรุ่นแรกเข้ามาเป็นผู้ว่าการอาณานิคม หลังจากหัวหน้าแมซซาซอยต์เสียชีวิต ผู้ที่ก้าวเข้ามารับตำแหน่งนี้แทนรุ่นบุกเบิกทั้งสามคนคือลูกชายของเอ็ดเวิร์ด วินสโลว์ ชื่อโจไซอาห์ วินสโลว์ ( Josiah Winslow) ในปี ค.ศ.1673-1679 ในตอนแรกคิงส์ฟิลลิปต้องการเจริญรอยตามพ่อของตนเอง คืออยากรักษาสัมพันธไมตรีอันสงบราบรื่นกับชาวอาณานิคม แต่ต่อมาเกิดสงครามพีควอทระหว่างอินเดียนแดงกับพ่อค้าชาวอาณานิคมในนิวอิงแลนด์ ทำให้ขอบเขตอาณานิคมต้องขยับหนีมาจนชิดขอบแดนอาณาเขตของเผ่าโพคาโนเคต ที่คิงส์ฟิลลิปปกครองอยู่
แม้จะขยายดินแดนมาจนประชิดติดขอบแดนเผ่าชาวอาณานิคมก็ไม่สนใจ แต่ยังคงขยับขยายอาณาเขตและที่ดินทำกินออกไปเรื่อยๆ อาณานิคมตลอดทั่วดินแดนนิวอิงแลนด์ขยายตัวจนมีประชากรมากมายถึงแปดหมื่นคน และมีเมืองทั้งหมดถึง 110 เมือง การแผ่ขยายอาณาเขตอาณานิคมอย่างไม่หยุดยั้งนี้ ทำให้เผ่าโพคาโนเคตตกอยู่ในวงล้อมของอาณานิคมพลีมัธโดยสิ้นเชิง
(โปรดอ่านต่อวันอังคารหน้า)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี