ผมไม่ทราบจะสรุปว่าคนไทยเป็นอย่างไรในเรื่อง “บุญกุศล” หรือพูดให้ชัดเจนก็คือ “มาตรฐานทางจริยธรรม” นั่นแหละ แต่ก่อนก็ไม่ค่อยสนใจนัก พอมีโลกออนไลน์ ได้เห็นผู้คนแสดงความคิดเห็นก็เข้าใจมากขึ้น แต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี!
คนไทยชอบทำบุญกุศล และก็ชอบคนที่ทำบุญกุศลด้วย และยังเข้าใจอีกว่าคนที่ร่ำรวยนั้นเพราะเขาทำบุญกุศลมาดี – ทำมามาก
ดังนั้นบุญกุศลจึงขึ้นอยู่กับความร่ำรวยและความร่ำรวยก็ขึ้นอยู่กับบุญกุศล ว่าได้ทำมามากน้อยแค่ไหน ด้วยความเชื่อแบบนี้ยังทำให้เข้าใจต่อไปอีกว่า “คนที่รวยแล้วไม่โกง” ก็...เขาจะโกงทำไม? ในเมื่อเขารวยแล้ว และความร่ำรวยของเขานั้นก็เกิดมาจากการทำบุญกุศล จึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะโกง...เหตุและผลก็วนเวียนอยู่แถวๆนี้แหละ
เมื่อเชื่อเสียแล้วว่าคนที่ร่ำรวยแล้วไม่โกง จึงไม่ต้องมองหาเหตุผลอื่นที่ทำให้เขาร่ำรวย
คนที่โกงหมื่นล้าน ทำบุญกุศลพันล้าน ก็ย่อมได้รับการชื่นชมสรรเสริญ
ส่วนคนโกงก็ได้ใจ เพราะไม่มีใครสนว่าตนเองร่ำรวยมาได้อย่างไร
ไม่มีใครสนใจเบื้องหลังของตนหรอก ว่า “เบื้องหลังความร่ำรวยคืออาชญากรรม” อย่างที่นักเขียนเอกของโลกคนหนึ่งพูดไว้
นเมืองไทยนั้นมีตัวอย่างหลายคน ขนาดโกงชาติโกงแผ่นดินไปมหาศาลก็ยังได้รับการยกย่องสรรเสริญ และเรียกร้องให้เป็นใหญ่เป็นโตต่อไปอีก ตอนนี้ก็มาถึงมหาเศรษฐีใจบุญที่ทั้งสื่อและคนทั่วไปแห่แหนกันชื่นชมยกย่อง
สื่อนั้นรู้แต่ไม่พูด กลัวไม่ได้ผลประโยชน์ อย่างน้อยก็โฆษณา
ส่วนพลเมืองก็เชื่อตามสื่อ ทั้งสื่อจริงสื่อเทียม และเชื่อ “ภาพสร้าง” ของตนจากเรื่องการทำบุญกุศล
เมื่อเชื่อเสียแล้ว ต่อให้มีคนบอกกรอกหู ก็จะโดนด่ากลับว่าอิจฉา ใส่ร้ายป้ายสีเขา
ดังนั้น “รวยแล้วไม่โกง”
“โกงแล้วทำบุญกุศล”
“ตั้งบ่อนตั้งซ่องแล้วเอาเงินมาสร้างวัด”
ก็ล้วนแต่ได้รับคำยกย่องสรรเสริญทั้งนั้น
พวกคนโกงนั้นเขามีเครือข่ายร่วมโกง แบ่งกันโกง สนับสนับสนุนการโกงอยู่แล้ว เราเรียกกันว่า “กลุ่มผลประโยชน์”
“กลุ่มผลประโยชน์” นั้นสำแดงตัวเองอยู่ทุกวัน บางช่วงเวลาก็สำแดงอย่างโจ่งแจ้ง แต่ไม่ค่อยมีใครสำเหนียกนัก เพราะพลเมืองเอาแต่เข้าข้างกลุ่มผลประโยชน์ที่ถูกจริตกับตัวเอง
กลุ่มผลประโยชน์นั้นคือพวกที่มีอำนาจด้านการเมือง หรือด้านเศรษฐกิจ หรือทั้งสองด้านรวมกัน และต่างก็เป็นตัวแทนให้กันและกัน เอื้อผลประโยชน์ให้กัน ทั้งโดยระบบการค้าธุรกิจและส่วนตัว
ต่อให้พวกเขาทำเหมือนจะฆ่ากันตาย หรือผีไม่เผาเงาไม่เหยียบ แต่ก็มีเส้นสายเชื่อมโยงแบ่งปันแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กันอยู่ดี และหน้าฉากก็สำแดงบทบาทนักบุญกันแทบทั้งนั้น
มีก็แต่ “พลเมือง” หน้าซีดนี่แหละ ที่ไม่มีกลุ่มผลประโยชน์อะไร แม้มีก็ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ซ้ำร้ายยังคอยเฝ้ารักษาผลประโยชน์ของกลุ่มหรือฝ่ายที่ตัวเองถูกจริตอีก คอยสนับสนุน ให้ ช่วยแก้ต่างให้ จึงกลายเป็น “เครือข่ายผลประโยชน์” ของสองฝ่าย - สามฝ่าย แล้วก็หันมาฟาดฟันกันเอง
พอแบ่งฝ่ายฟาดฟันกันเองแล้ว ก็แหงนหน้าไปด่ากลุ่มผลประโยชน์ที่ไม่ถูกจริตกับตัวเองว่า “แบ่งแยก” ให้พลเมืองแตกแยกเพื่อปกครองได้ง่ายๆ เป็นเบี้ยที่ถูกใช้เพื่อกินขุน และกินเบี้ยด้วยกันเอง
ก็จริง!
แต่ที่จริงยิ่งกว่าก็คือ ตัวเองต่างหากที่ยอมให้เขาแบ่งแยก ซ้ำกลับช่วยเขาแบ่งแยกอย่างเอาเป็นเอาตายด้วย
ไม่มีหัวคิดที่จะสร้างกลุ่มผลประโยชน์ของพลเมืองขึ้นมา - บนพื้นฐานของความจริง
เก่งแต่เอาลัทธิ – อุดมการณ์เข้าทำลายล้างกัน จนอ่อนแอไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย – สามฝ่าย
สุดท้ายไม่ว่าฝ่ายไหนจะชนะ กลุ่มผลประโยชน์ก็ยังคงเชิดหน้าชูตาต่อไป มั่งคั่งและมีอำนาจกำหนดชะตากรรมคนทั้งประเทศต่อไป
พลเมืองที่แปลว่า “กำลังของเมือง” ก็ทะเลาะกันเพื่อพวกเขาต่อไป โดยไม่ได้อะไรตอบแทน นอกจากได้แสดงอัตตาว่าตนเก่ง รู้ดี เข้าข้างคนถูก อยู่ฝ่ายเดียวกับคนใจบุญกุศล!
ที่บาดเจ็บ ล้มตาย พิกลพิการ ติดคุก ก็เพราะเหตุนี้แหละ
(ผมไม่ได้หมายความว่าคนที่ร่ำรวยจะต้องโกงทุกคนนะครับ ผมเชื่อว่าคนที่ร่ำรวยไม่โกงนั้นมีมากกว่าคนร่ำรวยแล้วโกง)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี