โรงพยาบาลดี หมอดีก็มีมาก
โรงพยาบาลไม่ดี หมอไม่ดีก็มากมี
กรณีผู้ป่วยถูกสามีสาดน้ำกรด และถูกพาเข้าไปรักษาพยาบาลยังห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลพระราม 2 ก่อนจะถูกส่งตัวต่อไปยังโรงพยาบาลบางมดตามสิทธิ์ประกันสังคม แต่ผู้ป่วยบาดเจ็บทนพิษน้ำกรดไม่ไหวจึงเสียชีวิตลง ข้อเท็จจริงจะเป็นเช่นไร ใครถูกใครผิด และใครจะต้องรับผิดชอบ อีกไม่นานก็คงได้รู้กัน
ประเด็นที่น่าขบคิดจากเหตุการณ์ครั้งนี้ (ซึ่งความจริงก็เกิดขึ้นบ่อยๆ ไม่ใช่เพิ่งเกิด) คือ การที่มีผู้ป่วยฉุกเฉินถึงขั้นวิกฤติถูกหามร่อแร่เข้ามาโรงพยาบาล แต่โรงพยาบาลกลับสาละวนอยู่กับการตรวจสอบสิทธิ์ผู้ป่วย ก่อนจะตัดสินใจว่าจะให้การรักษาพยาบาลแค่ไหนอย่างไรนั้น เป็นแบบปฏิบัติที่สมควรจะอนุญาตให้โรงพยาบาล (ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือโรงพยาบาลเอกชน) กระทำได้หรือไม่ ทั้งที่เมื่อต้นปีที่แล้ว วันที่ 28 มีนาคม 2560 ที่ประชุม ครม. เคยมีมติเห็นชอบอนุมัติให้ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตสามารถเข้ารับการรักษาได้ในโรงพยาบาลทุกแห่งทั้งรัฐและเอกชน โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ภายใน 72 ชั่วโมงแรก ก่อนส่งต่อไปยังโรงพยาบาลที่มีสิทธิ์รักษาพยาบาลอยู่ และต่อมากระทรวงสาธารณสุขยังได้มีการวางหลักเกณฑ์เกี่ยวกับอาการป่วยฉุกเฉินวิกฤติไว้ถึง 6 กลุ่มอาการ รวมทั้งกำหนดบทลงโทษสถานพยาบาลที่ปฏิเสธการให้การรักษา ให้ต้องมีความผิดปรับ 20,000 บาท หรือถึงขั้นสั่งปิดสถานพยาบาลทันที รวมถึงห้ามสถานพยาบาลกักตัวผู้ป่วยเพื่อเพิ่มค่าใช้จ่าย เว้นเสียแต่ผู้ป่วยมีความประสงค์จะรับการรักษาต่อที่โรงพยาลเอง ซึ่งจะต้องเสียค่าใช้จ่ายตามปกติ
แต่กระนั้นโรงพยาบาล (ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือโรงพยาบาลเอกชน) ยังคงตรวจสอบสิทธิ์ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติก่อนเสมอ ทั้งพยายามผลักดันให้ไปรักษายังสถานพยาบาลที่มีสิทธิ์ หากเห็นว่าผู้ป่วยนั้นไม่ค่อยมีสะตุ้งสตางค์
ตรงกันข้าม หากประเมินว่าผู้ป่วยพอมีเงินจ่าย ก็จะไม่ปฏิเสธการรักษา แต่พอส่งบิลมาเก็บค่ารักษาพยาบาล ก็เก็บค่าใช้จ่ายใน 72 ชั่วโมงแรกเข้าไปด้วย โดยไม่ช่วยจัดการเรียกเก็บไปยังโรงพยาบาลที่ผู้ป่วยมีสิทธิ์ หรืออย่างน้อยแนะนำให้ผู้ป่วยไปเรียกเก็บเองก็ไม่แนะนำ
ที่พูดเช่นนี้เพราะเคยประสบด้วยตนเองมาแล้ว กรณีนำญาติที่ป่วยฉุกเฉินวิกฤติเข้าโรงพยาบาล ค่ารักษาพยาบาลวันละ 40,000 – 60,000 บาท สามวันแรกก็ปาเข้าไปแสนกว่าบาทแล้ว ที่น่าเศร้าต่อไปอีกคือ ญาติคนนี้ไม่มีครอบครัว ไม่มีทายาท บุพการีก็ถึงแก่กรรมกันหมดแล้ว เขาเข้าโรงพยาบาลและไม่ได้กลับออกมาอีก เมื่อติดต่อไปยังประกันสังคมถึงค่ารักษาพยาบาล 72 ชั่วโมงแรกในฐานะน้องชายที่รับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลให้เขา ประกันสังคมแจ้งว่าเบิกให้ไม่ได้ เพราะตามระเบียบผู้ที่จะเบิกได้ต้องเป็นบุพการีหรือทายาทเท่านั้น น้องชายไม่ใช่ทายาท แม้จะจ่ายค่ารักษาพยาบาลไปจริง ก็ไม่สามารถเบิกได้ เจ้าหน้าที่ประกันสังคมยังถามด้วยว่า โรงพยาบาลเขาไม่ได้แนะนำหรือ อย่างน้อยตั้งเรื่องเบิกก่อนผู้ป่วยเสียชีวิตก็ยังสามารถเบิกเงินก้อนนี้ได้
การที่โรงพยาบาลไม่ได้ใส่ใจผู้ป่วย หรือสนใจให้ความช่วยเหลือญาติผู้ป่วยเกี่ยวกับผลประโยชน์ที่ควรได้รับเกี่ยวกับค่ารักษาพยาบาล มากไปกว่าจะใส่ใจเกี่ยวกับผลประโยชน์ของตัวโรงพยาบาลเองด้วยการพยายามตรวจสอบสิทธิ์ผู้ป่วยก่อนให้การรักษาพยาบาล แม้ผู้ป่วยนั้นจะมีอาการฉุกเฉินวิกฤติ ดังกรณีผู้ป่วยถูกสามีสาดน้ำกรดนั้น จะโทษเจ้าหน้าที่ระดับล่างของโรงพยาบาลก็ไม่ได้ เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า พวกเขากระทำตามนโยบายและคำสั่งของผู้บริหารโรงพยาบาล
ผู้บริหารหรือเจ้าของโรงพยาบาลที่วางนโยบายหรือออกระเบียบปฏิบัติเหล่านั้นแหละคือปัญหา
คนเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วหากไม่ใช่หมอ ก็เคยเป็นหมอ เพียงแต่เป็นหมอที่มาทำธุรกิจโรงพยาบาล และพอกระโจนเข้าสู่วงการธุรกิจ จิตวิญญาณและอุดมการณ์ของความเป็นหมอก็ค่อยๆ เลือนหายไป กระทั่งบางคน อาจมองผลประโยชน์ของธุรกิจโรงพยาบาลสำคัญมากกว่าชีวิตผู้ป่วยที่เป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
ไม่เช่นนั้นแล้ว ทำไมโรงพยาบาลเอกชนที่รักษาผู้ป่วยประกันสังคมทั้งหลาย จึงแยกแผนกหรือกระทั่งแยกตึกออกไปเพื่อรองรับผู้ป่วยประกันสังคมโดยเฉพาะ พร้อมเวชภัณฑ์และยาจำนวนหนึ่งที่ต่ำระดับกว่าที่ใช้ในแผนกผู้ป่วยทั่วไปที่ไม่ใช่ประกันสังคม
ไม่เช่นนั้นแล้ว ทำไมโรงพยาบาลเอกชนที่รักษาผู้ป่วยประกันสังคมบางโรงพยาบาล จึงสั่งให้พยาบาลและเภสัชกรแผนกจ่ายยาของตน งดการฉีดยาให้ผู้ป่วยประกันสังคมตามใบสั่งยาของหมอ แต่ให้เปลี่ยนเป็นจ่ายยากินแทน เพื่อประหยัดต้นทุนของโรงพยาบาลโดยที่หมอผู้มีคุณธรรมและมนุษยธรรมเหล่านั้นไม่ทราบเลย
การตรวจสอบสิทธิ์ก่อนให้การรักษาพยาบาล ทั้งๆ ที่ผู้ป่วยถูกหามร่อแร่มาก็ดี การปฏิบัติต่อผู้ป่วยประกันสังคมอย่างไม่เหมาะสมก็ดี จะยังเกิดขึ้นต่อไปเรื่อยๆ ถ้านักธุรกิจโรงพยาบาลยังเห็นเงินสำคัญกว่าชีวิตคนและอำนาจรัฐ ซึ่งก็คือหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง ที่ควบคุมดูแลเรื่องนี้อยู่ไม่เอาจริงเอาจังกับนักธุรกิจที่ประกอบกิจการโรงพยาบาลเหล่านี้
บางทีอาจถึงเวลาแล้วกระมัง ที่สังคมจะต้องเข้มงวดเอาจริงเอาจังกับโรงพยาบาลเอกชนที่ทำให้คุณธรรมและมนุษยธรรมในวิชาชีพแพทย์พยาบาลหล่นหายไป เพื่อที่ผู้ป่วยจะต้องได้รับการรักษา คนที่ถูกหามเข้ามาจะต้องไม่ตายฟรี
ณรงค์ฤทธิ์ ศรีรัตโนภาส
สำนักที่ปรึกษาร้อยชักสาม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี