ยังไม่ทันจะเห็นหน้าผู้สมัครรับเลือกตั้งทั้งระบบเขต และบัญชีรายชื่อเลยครับ โพลล์ สำรวจออกมาแล้วครับว่า คนไทยอยากได้ใครเป็นนายก
ที่ติดอันดับ ก็ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ที่ไม่เคยติดเลยดูเหมือนจะเป็น พลตำรวจเอก เสรีพิสุทธ์ เตมียเวส ทั้งที่นโยบายที่ประกาศออกมานั่นสำคัญอยู่ เป็นต้นจัดการกับคอร์รัปชั่น ลดงบทหาร โยกย้ายกองกำลังทหารในกรุงไปอยู่ต่างจังหวัด
อย่าไปเชื่อโพลล์เสียทีเดียว ถ้าเป็นไปตามโพลล์ คุณหญิงสุดารัตน์ พลตำรวจเอก พงศ์พัศ พงษ์เจริญ ก็ต้องได้เป็น ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ไปแล้ว
แต่จะไม่เชื่อมันเสียทีเดียวก็ไม่ได้
เอาเป็นว่า ขณะนี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ติดอันดับหนึ่ง
การติดอันดับของ พลเอก ประยุทธ์ ไม่ใช่เพราะ คนแยก เผด็จการ กับ ประชาธิปไตย ไม่ออก หรือเกิดความสับสน
ผู้คนส่วนใหญ่รู้แล้วว่า เมื่อมีประกาศสมัครรับเลือกตั้ง เมื่อมีการเลือกตั้ง บ้านเมืองก็ต้องใช้กติกาประชาธิปไตย ไม่มีมาตรา 44 ไม่มีอำนาจ คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช. ) รัฐสภา ไม่ใช่ สนช. แต่เป็นสภาที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน จะมีพรรคไหน นักการเมืองคนใดได้รับเลือกตั้งมา ตอนนี้ยังไม่รู้
แต่จะสั่งขวาหัน ซ้ายหัน เหมือนเดิมไม่ได้
จะมีวิธีสั่งอื่นใดนั่นขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้บริหาร ซึ่งจะต้องใช้ความสามารถ อย่างยอดเยี่ยมเป็นพิเศษ
จอมพล ถนอม กิตติขจร หัวหน้าพรรคสหประชาไทย เคยเจอมาแล้ว แล้วก็เอาไม่อยู่ต้องปฏิวัติตัวเอง 17 พฤศจิกายน 2514
จอมพล ป. พิบูลสงคราม ก็เจอมาแล้ว หลังการเลือกตั้งสกปรก รัฐมนตรีในคณะลาออก หลังจากนั้นไม่นาน ลูกน้องคนสนิท คือจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัตน์ ยึดอำนาจ 16 กันยายน 2500 จอมพล ป. ต้องหนีไปเขมร และไปถึงแก่มรณกรรมที่ญี่ปุ่น
ทั้ง จอมพล ป. และจอมพลถนอม ต่างก็เคยยึดอำนาจจากนักการเมือง และต่อมานักการเมืองก็มาห้อมล้อม มาสนับสนุน เมื่อทั้งจอมพล ป. และจอมพลถนอม ต้องการ “มือ” ยกสนับสนุนในสภา
ว่าไปแล้วก็ไม่ต่างกับที่พลเอกประยุทธ์กำลังเจออยู่ในขณะนี้
พลเอก ประยุทธ์ นำคณะทหาร ตำรวจยึดอำนาจเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 นั่นก็พฤติการณ์ พฤติกรรมของนักการเมืองชั่ว มันสุมหัวกันใช้เสียงข้างมาก (ซึ่งมันอ้างว่าเป็นหลักการประชาธิปไตย) ออกกฎหมายซึ่งขัดกับหลักนิติรัฐ นิติธรรมออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้คนผิด จนประชาชนทนไม่ได้ต้ออกมาประท้วงกลางถนน เป็นความขัดแย้งอยู่นานนับเดือน ซึ่งปล่อยไว้ก็เกิดทุรยุค
หลังยึดอำนาจ พลเอกประยุทธ์ก็บอกว่าต้องใช้เวลา(อีกไม่นาน) ในการแก้ไขปัญหาบ้านเมือง แล้วในที่สุดก็ร่างรัฐธรรมนูญ ร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ
ระหว่างช่วงเวลานั้น เมื่อถูกถามถึงการเลือกตั้ง พลเอกประยุทธ์ก็จะบอกว่า“เลือกแล้วได้นักการเมืองชั่วมาอีกจะทำอย่างไร?”
น้ำเสียงออกจะเครียดๆเหมือนห่วงใยบ้านเมืองเต็มประดา
แต่พอทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง รัฐธรรมนูญเสร็จ กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ซึ่งส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับการเลือกตั้งเสร็จ พลเอกประยุทธ์ก็มองเห็นความจำเป็นที่จะต้องคบกับนักการเมือง
นักการเมืองที่ พลเอก ประยุทธ์ เคยบอกว่ามันชั่วนั่นแหละครับ !
ถึงแม้ตอนที่บอกว่า นักการเมืองชั่ว มันคือใคร ชื่ออะไร หน้าตามันเป็นอย่างไร ผู้คนทั้งหลายในแผ่นดินนี้ดูออกรู้ และเข้าใจ
เห็นมาแล้วตั้งแต่สมัย จอม พล ป. จอมพลสฤษดิ์ จอมพล ถนอม
ช่วงที่มันมาสนับสนุน พลเอกสุจิดา คราประยูร หรือ ที่มันสนับสนุน ชวลิต บรรหาร แม้กระทั่ง ทักษิณ มันก็กลุ่มนี้แหละ เทือเถาเหล่ากอเดียวกัน สปีชี่เดียวกัน ไฟลัมเดียวกัน
ตรวจไปถึง ดีเอ็นเอ ก็เป็นเช่นเดียวกัน
สันดานพวกนี้มันหูไวตาไว มีสัญชาติญาณพิเศษ รู้ว่า ใครจะมีอำนาจต่อไป มันรู้จากไหนครับ มันก็รู้จากรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกติกา แหละครับ ไม่ได้ยินเหรอ มันพูดออกมาเอง
เรื่องนี้น่าห่วงนะครับ
คำสอนของพระพุทธศาสนานั้นบอกไว้ชัดเลยว่า เป็นหนึ่งในหนทางแห่งความพินาศฉิบหาย นักเลงผู้หญิงหนึ่ง นักเลงสุราหนึ่ง นักเลงการพนันหนึ่ง คบคนชั่วเป็นมิตรหนึ่ง เที่ยวกลางคืนหนึ่ง เกียจคร้านการงานหนึ่ง
ในอบายมุข 6 ประการนี้ พลเอกประยุทธ์ผ่านเกือบหมด มาติดอยู่ตรงคบคนชั่วเป็นมิตร นี่แหละครับ
จะบอกว่า พลเอก ประยุทธ์ ไม่รู้ว่ามันชั่ว ไม่รู้ว่ามันเลว ไม่ได้นะครับ เพราะพลเอก ประยุทธ์เคยพูดออกมาเอง
เว้นแต่จะคิดว่า เป็นเซียน ฝึกเหี้ยได้ สอนเหี้ยได้
เหนือกว่า จอมพล ป. จอมพลสฤษดิ์ จอมพลถนอม นั่นก็แล้วไป
สำเริง คำพะอุ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี