นักการเมืองไทย รวมทั้งพวกข้าราชการระดับสูง ไม่ว่าจะกี่ยุคกี่สมัยก็มักจะให้คนไทยพึ่งพาต่างชาติ พึ่งพานักลงทุน พึ่งพานักท่องเที่ยว เช่นเดียวกับประเทศที่ด้อยพัฒนาและกำลังพัฒนาทั้งหลาย
“ความคิดพึ่งพา” นี้มีบางคนบอกว่ามันถูกนำมาจากประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยมาจากการช่วยเหลือของประเทศตะวันตกอย่างสหรัฐอเมริกา จนแปลงร่างเป็นแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับแรก (ตอนนั้นยังไม่มีคำว่า ‘สังคม’) จากนั้นคนที่ไปเรียนต่างประเทศ ซึ่งก็ไม่พ้นประเทศในตะวันตก ก็นำความคิดนั้นเข้ามาสนับสนุนระบบเศรษฐกิจ(ทุนนิยมตะวันตก)ในประเทศไทย ให้มันลงหลักปักฐานมั่นคงในความเชื่อของนักการเมืองและข้าราชการระดับสูง
และมันได้กลายเป็นการลงหลักปักฐานในจิตสำนึกของพวกเขาด้วย
แม้จนวันนี้พวกเขา(นักการเมืองและข้าราชการระดับสูง) ก็ยังคิดและเชื่อเช่นนี้
พวกเขาปลาบปลื้มกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในประเทศไทย
ปลาบปลื้มกับจำนวนนักลงทุนเข้ามาลงทุนในประเทศไทย
ในช่วงหลังพวกเขายังปลาบปลื้มที่มีชาวต่างประเทศเข้ามาจับจองผืนดินและอาคารบ้านเรือนหรู (อสังหาริมทรัพย์) ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ทำเลทอง แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังไม่พอใจ ยังอยากจะปลาบปลื้มมากขึ้นอีกจนถึงกับเปลี่ยนกฎ – ระเบียบต่างๆเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ชาวต่างชาติทั้งหลาย
รวมทั้งบริการด้านระบบสาธารณูปโภค และลดภาษีเพื่อเป็นแรงจูงใจ
แต่ขึ้นภาษีเอากับพลเมืองในประเทศ
ทั้งหมดนั้นก็เพราะต้องการให้คนไทยมีงานทำ (เป็นแรงงาน – ลูกจ้าง – ค้าขายเล็กๆน้อยๆ) ให้มีเงินหมุนเวียนในประเทศ เพื่อให้เศรษฐกิจเติบโต...ในนามของ จี ดี พี. (ซึ่งสภาพความเป็นจริงของแต่ละคนเป็นอีกเรื่องที่ไม่เกี่ยวกันเลยกับ จี ดี พี.)
ตอนนี้หลายคนเป็นห่วงพลเมืองในจังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง เพราะมันเป็นที่ตั้งของโครงการ “ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก” ที่รัฐบาลต้องการเชิญชวนนักลงทุนจากต่างประเทศเข้ามา โดยได้รับสิทธิพิเศษต่างๆอย่างที่กล่าวมาข้างต้น
พวกเขาเป็นห่วงเพราะพื้นที่ภาคตะวันออกนั้นมีผืนดินและท้องน้ำที่อุดม มีเรือก สวน ไร่ นา ทะเล จะได้รับผลกระทบ ซึ่งพื้นที่ทั้ง 3 จังหวัดถือเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญของประเทศ และคนในถิ่นฐานนั้นได้พึ่งพาตนเองมาแต่บรรพชน
แต่ก็มีคนที่สนับสนุนโครงการที่ว่านี้ เพราะพวกเขาเห็นว่ามันสามารถ “ทำเงินและเรียกเงิน” ได้มากกว่าการประกอบอาชีพภาคการเกษตรและการประมง
พวกเขาเอาเงินเป็น “เป้าหมายของชีวิต” และเป็นเป้าหมายของ “การพัฒนา” หรือเพื่อความเจริญ...ที่ยิ่งเจริญมากเท่าไหร่ก็ยิ่งสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติและสภาพแวดล้อมที่จำเป็นสำหรับชีวิตมนุษย์มากขึ้นเท่านั้น
ประการสำคัญ ก็คือ “มีใครบ้างที่สามารถทำเงินและเรียกเงินได้เป็นกอบเป็นกำ?”
“คนทั่วไป” ในประเทศไทยหรือกระทั่งใน 3 จังหวัดที่เป็นที่ตั้งของโครงการระเบียงเศรษฐกิจตะวันออกนั้นมี “ทุน – เทคโนโลยี - ความรู้ความสามารถ” แค่ไหนที่จะเป็นผู้ลงทุน?
นักลงทุนในประเทศก็จะมีแต่เจ้าเก่าเสียส่วนมาก ส่วนในต่างประเทศก็จะเป็นพวกทุนหนาและเป็นมืออาชีพทั้งนั้น
เราต้องยอมรับว่าในปัจจุบัน เรามีคนที่ยังอยู่ในภาคเกษตรกรรมอีกมาก รองลงมาก็ภาคบริการซึ่งไม่ได้มีความรู้ความสามารถ “ทันสมัย” อย่างที่รัฐบาลนี้ตั้งเป้าหมายไว้จะให้เป็น “ไทยแลนด์ 4.0”
รัฐบาลจะเอาคนเหล่านี้ไปไว้ที่ไหน ถ้าไม่เหลือพื้นที่ดีๆสำหรับพวกเขาเลย
ผมหมายรวมถึงพื้นที่ทางด้าน “ทัศนะคติ” เกี่ยวกับการทำมาหากินด้วย ที่จะไม่หวังพึ่งพาพวกนักลงทุนทั้งหลาย
ผมประทับใจนายกฯ มหาเธร์ที่กล่าวถึง “อนาคตของภูมิบุตร (เจ้าของแผ่นดิน)” ในการปาฐกถาเมื่อวันเสาร์ที่ 1 กันยายนว่า “ถ้าเรายอมให้คนจีน 3 ล้านคนเข้ามาอยู่ในประเทศ อะไรจะเกิดขึ้นกับเราล่ะ พวกเขาเป็นคนที่ทำงานหนัก, เฉลียวฉลาด และมีความรู้ดีมากเรื่องการทำธุรกิจ...พวกเขาไม่ใช่ผู้ใช้แรงงาน...แต่ประสบผลสำเร็จอย่างดีทางธุรกิจ แล้วพวกเราจะแข่งกับพวกเขาได้หรือ?...เราต้องยอมรับจุดอ่อนของพวกเรา และจะต้องปกป้องพวกเรากันเอง จนกว่าเรามีความสามารถพอจะแข่งขันสู้กับพวกเขาได้...พวกเขาจะเข้ามากวาดซื้อที่ดินของพวกเราจนหมด และพวกเราก็จะต้องขยับหนีไกลออกไปจากเมืองใหญ่ ไปอยู่ตามชายป่า...หรืออาจต้องเข้าไปอยู่ในป่าด้วยซ้ำ...นี่เป็นสิ่งที่ผมมองเห็นภาพที่กำลังจะเกิดขึ้น...พวกเขาจะเข้ามาเป็นเจ้าของที่ดินผืนใหญ่ๆ และพัฒนาเมืองหรูๆ ให้เกิดขึ้น ซึ่งพวกเราจะไม่มีปัญญาเข้าพักอาศัยอยู่ในเมืองหรูๆ เหล่านี้ เพราะราคาแพงมาก”
ท่านยังได้พูดเสริมอีกว่า “ในช่วงชีวิตของผม ได้พบเห็นพวกคนจีนที่ได้อพยพเข้ามาเลเซียในฐานะผู้ใช้แรงงาน พวกเขาจะเพาะและขายถั่วงอก และทำเต้าหู้ขาย; ตอนนั้น ชาวมาเลย์ที่ร่ำรวยจะจ้างคนจีนเป็น “อาม่า” ไว้เป็นพี่เลี้ยงของลูกๆ...ซึ่งต่อมาบรรดาลูกหลานจีนเหล่านี้ได้ประสบผลสำเร็จจนกลายเป็นเศรษฐีมากมายในแผ่นดินนี้”
นั่นเป็นชาวจีนรุ่น “เสื่อผืนหมอนใบ” (มีปู่ย่าตายายของผมอยู่ด้วย) หนีความยากจนข้นแค้นในแผ่นดินใหญ่ พวกเขาเข้ามาเป็นกุลี ทำงานหนัก และประสบผลสำเร็จจนได้เป็นเศรษฐีมากมายหลายตระกูลจนถึงทุกวันนี้
แต่คนจีนรุ่นใหม่นั้นเติบโตมาเป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัว ได้รับการศึกษาที่ดี มีความรู้ความสามารถและมีความทะเยอทะยานสูงมาก จนกลายเป็น “นักล่าความมั่งคั่ง” ไปทั่วโลก โดยเฉพาะในเอเชีย
แล้วคนไทยทั่วไปจะเอาอะไรไปสู้กับพวกเขา?
นอกจากขายแรงงาน ขายสินค้า และ ทำธุรกิจเล็กๆน้อยๆ
การคิดแต่จะพึ่งพาการท่องเที่ยว การลงทุนจากต่างชาติ จะยิ่งทำให้พลเมืองไทยส่วนใหญ่ลำบากมากขึ้นในอนาคต ในที่สุดพวกเขาก็จะถูกกทอดทิ้งไว้เบื้องหลังการพัฒนา
รัฐบาลก็จะทำหน้าที่ “แจก” โดยกล่อมตัวเองให้เชื่อว่ามันเป็นระบบสวัสดิการ ไม่ใช่ประชานิยม ซึ่งก็ยิ่งทำให้พลเมืองอ่อนแอลงอีก!
(ผมเห็นด้วยกับการพัฒนา แต่จะพัฒนาอย่างไรให้เกิดดุลยภาพทั้งองคาพยพของประเทศ?)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี