การเข้ามาตั้งอาณานิคมของคนผิวขาวจากยุโรปมีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่ออินเดียนแดงในอเมริกา จากชนเผ่าอิสระที่ท่องทางอย่างเสรีเช่นเดียวกับฝูงไบซันอันครอบครองดินแดนนี้มายาวนาน กลับต้องถูกจำกัดอาณาเขตในเขตสงวน ซึ่งเขตสงวนเหล่านี้คือผืนดินกันดารที่คนผิวขาวไม่ปรารถนานั่นเอง
การ (อ้างว่า) ค้นพบโลกใหม่ของชาวยุโรปนำความปวดร้าวมาสู่อินเดียนแดงทุกเผ่า เพราะนั่นหมายถึงความตายได้คืบคลานเข้ามาทีละน้อย หากว่าทุกฝ่ายสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่ดูเหมือนว่าผู้บุกรุกแย่งชิงเอาทุกสิ่งทุกอย่างไปจากอินเดียนแดง แล้วยังกดคอบังคับให้ชนเผ่าอินเดียนยอมเป็นทาสตนอีกด้วย
การขยายดินแดนของชาวอาณานิคม ทำให้ชาวยุโรปโดยเฉพาะชาวอังกฤษบุกรุกแผ่นดินของอินดียนแดงมากขึ้นทุกขณะ ผลที่ตามมาคือการขับไล่อินเดียนแดงออกไปอยู่ฝั่งตะวันตกของประเทศ ในตอนนั้นถือเป็นดินแดนที่คนผิวขาวไม่อยากได้ เพราะไม่เหมาะต่อการเพาะปลูก
ในปี คศ.1834 รัฐสภาสหรัฐจึงได้กำหนดเส้นเมอริเดียนที่ 95 เป็นเส้นแบ่งเขตระหว่างผิวขาวและอินเดียนแดง โดยตกลงกันว่าชาวผิวขาวจะล่วงล้ำเข้าไปในเขตตะวันตกไม่ได้ แต่คนขาวมักละเมิดอยู่เสมอ เพราะมีเสียงร่ำลือกันว่าในบริเวณนั้นเต็มไปด้วยแร่ทองคำ
เมื่อคนผิวขาวตวาดใส่ด้วยเสียงปืน ชาวอินเดียนแดงกว่าหนึ่งแสนคนจึงจำใจต้องทิ้งแผ่นดินเกิดไปอยู่ฝั่งตะวันตกอย่างขมขื่นหัวใจ มิหนำซ้ำมีเอกสารลงลายลักษณ์อักษรปรากฏในกฎหมายของสหรัฐอเมริการะบุว่าการโยกย้ายของอินเดียนแดงทุกเผ่านั้นเป็น “ความสมัครใจ”
แต่ในทางปฏิบัติแล้วอินเดียนแดงทุกคนถูกบังคับให้ย้ายและบังคับให้เซ็นสัญญา ทุกเผ่าจึงจับอาวุธเพื่อลุกขึ้นต่อสู้กับทหารผิวขาวเพื่อปกป้องแผ่นดินเกิดของตนเองทั่วอเมริกา จนกระทั่งทางการอเมริกาออกคำสั่งให้ชาวอินเดียนแดงทั้งหมดย้ายเข้าไปอยู่ในเขตสงวนอินเดียนแดงอย่างไม่มีข้อแม้ใดๆ เมื่อวันที่ 31 มกราคม ปี คศ.1876
เขตสงวนอินเดียนหรือ Indian reservation นั้นเป็นเขตแห้งแล้งกันดารที่ไม่เหมาะต่อการอยู่อาศัย และทำมาหากิน โดยกระจายตัวตามรัฐต่างๆ ที่รัฐบาลสหรัฐกำหนดให้อินเดียนแดงใช้เป็นที่ตั้งถิ่นฐานตามการประกาศของรัฐบาล
ในอเมริกามีเขตสงวนประมาณ 300 เขตสงวน โดยเขตสงวนเพียง 9 แห่งที่ใหญ่กว่า 5,000 กม และ เขตสงวน 12 แห่งที่มีขนาดใหญ่กว่า 3,000 กม แต่ละเขตสงวนจะมีภูมิประเทศและภูมิอากาศที่แตกต่างกันออกไป แต่จะเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือเป็นแผ่นดินที่กันดารจนไม่สามารถทำการเกษตรกรรม และไม่เป็นที่ต้องการของคนผิวขาว
ความรู้สึกของชนเผ่าอินเดียนแดง ตั้งแต่วันแรกที่ชาวยุโรปก้าวเข้ามาบนแผ่นดินอเมริกาจนถึงวันที่อินเดียนแดงทั้งหมดต้องย้ายไปอยู่ในเขตสงวน สะท้อนออกมาได้อย่างชัดเจนในสุนทรพจน์ของหัวหน้าซีแอตเติ้ล (Chief Seattle) ซึ่งเป็นหัวหน้าเผ่าซูความิชท์ (Suquamish) ที่กล่าวตอบข้อเสนอแกมบังคับขอซื้อดินแดนจากอินเดียนแดงเมื่อปี ค.ศ. 1854 อันเป็นยุคสมัยของประธานาธิบดีแฟรงคลิน เพียร์ซ ( Franklin Pierce) คัดย่อมาสั้นๆ ดังนี้
"หัวหน้าผู้ยิ่งใหญ่แห่งวอชิงตันได้แจ้งมาว่าต้องการที่จะซื้อดินแดนของพวกเรา ท่านหัวหน้าผู้ยิ่งใหญ่ยังได้กล่าวแสดงความเป็นมิตรและความมีน้ำใจต่อเราอีกด้วย นับเป็นความกรุณาอย่างยิ่ง เพราะเรารู้ดีว่ามิตรภาพจากเรานั้น ไม่ใช่สิ่งจำเป็นอะไรสำหรับเขาเลย แต่เราพิจารณาข้อเสนอของท่าน เพราะเรารู้ว่าถ้าเราไม่ขาย พวกคนขาวก็อาจจะขนปืนมายึดดินแดนของพวกเราอยู่ดี
แต่ท้องฟ้าและความอบอุ่นของแผ่นดินนั้น เขาซื้อขายกันได้อย่างไร ความคิดเช่นนี้เป็นสิ่งที่แปลกประหลาดสำหรับพวกเรา หากความสดชื่นของอากาศและความใสสะอาดของธารน้ำนั้นมิได้เป็นทรัพย์สมบัติส่วนตัวของเราแล้ว ท่านจะซื้อสิ่งเหล่านี้ไปจากเราได้อย่างไร
ทุกส่วนของแผ่นดินนี้ถือว่าศักดิ์สิทธิ์ต่อชนเผ่าของเรา ใบสนทุกใบ หาดทรายทุกแห่ง ป่าไม้ ทุ่งโล่ง และแมลงเล็กๆทุกตัว คือความทรงจำ คือประสบการณ์อันศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าพันธุ์เรา อดีตของชาวอินเดียนแดงนั้นไหลซึมวนเวียนอยู่ในยางไม้ทั่วทั้งป่านี้
วิญญานของคนขาวไม่มีความผูกพันกับถิ่นกำเนิดของเขา แต่วิญญานของพวกเราไม่มีวันรู้ลืมแผ่นดินอันแสนงดงาม และเปรียบเสมือนเป็นแม่ของชาวอินเดียนแดง เราเป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดิน และแผ่นดินก็เป็นส่วนหนึ่งของเราเช่นกัน
กลิ่นหอมของดอกไม้นั้นเปรียบเสมือนพี่สาวน้องสาวของเรา สัตว์ต่างๆ เช่น กวาง นกอินทรี คือพี่น้องของเรา ขุนเขาและความชุ่มชื้นของทุ่งหญ้า และไออุ่นจากม้าที่เราเลี้ยงไว้ ก็คือส่วนหนึ่งของครอบครัวเราเช่นกัน ดังนั้น การที่หัวหน้าผู้ยิ่งใหญ่แห่งวอชิงตันขอซื้อดินแดนของเรา จึงเป็นข้อเรียกร้องที่ใหญ่หลวงนัก
หัวหน้าผู้ยิ่งใหญ่แจ้งมาว่า เขาจะจัดที่อยู่ใหม่ให้พวกเราอยู่ตามลำพังอย่างสุขสบาย เขาจะทำตัวเสมือนพ่อ และเราก็จะเป็นเหมือนลูกๆของเขา ดังนี้ เราจึงจะพิจารณาข้อเสนอที่ท่านขอซื้อแผ่นดินของเรา แต่ไม่ใช่ของง่าย เพราะแผ่นดินนี้คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรา
กระแสน้ำระยิบระยับที่ไหลไปตามลำธาร แม่น้ำและทะเลสาบที่ใสสะอาดนั้น เต็มไปด้วยอดีตและความทรงจำของชาวอินเดียนแดง เสียงกระซิบแห่งน้ำคือเสียงของบรรพบุรุษของเรา แม่น้ำคือสายเลือดของเรา เราอาศัยเป็นทางสัญจร เป็นที่ดับกระหาย และเป็นแหล่งอาหารสำหรับลูกหลานของเรา ถ้าเราขายดินแดนนี้ให้ท่าน ท่านจะต้องจดจำและสั่งสอนลูกหลานของท่านด้วยว่า แม่น้ำคือสายเลือดของเราและท่าน ท่านจะต้องปฏิบัติกับแม่น้ำเสมือนเป็นญาติพี่น้องของท่าน
ชาวอินเดียนแดงมักจะหลีกทางให้กับคนผิวขาวเสมอมา เหมือนกับหมอกบนขุนเขาที่ร่นหนีแสงแดดในยามรุ่งอรุณ แต่เถ้าถ่านของบรรพบุรุษของเราเป็นสิ่งซึ่งเราสักการะบูชา และหลุมฝังศพของท่านเหล่านั้นเป็นดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ เช่นเดียวกับเทือกเขาและป่าไม้
เทพเจ้าประทานแผ่นดินส่วนนี้ไว้ให้กับพวกเรา เรารู้ดีว่าคนผิวขาวไม่เข้าใจวิถีชีวิตของเรา สำหรับเขาแล้ว แผ่นดินไหนๆ ก็ตามก็เหมือนกันหมด เพราะพวกเขาคือคนแปลกถิ่นที่เข้ามากอบโกยทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาอยากได้
คนผิวขาวไม่ได้ถือว่าแผ่นดินเป็นเลือดเนื้อของเขา แต่เป็นศัตรู และเมื่อเขาเอาชนะได้แล้วก็จะทิ้งแผ่นดินนั้นไป ทิ้งเถ้าถ่านเอาไว้เบื้องหลังอย่างไม่ใยดี เถ้าถ่านบรรพบุรุษและถิ่นกำเนิดของลูกหลานไม่มีอยู่ในความทรงจำของพวกคนผิวขาว”
เอกสารฉบับเต็มนั้นยาวหลายหน้ากระดาษ และได้รับการเก็บรักษาอย่างดีในวอชิงตันดีซี สุนทรพจน์นี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นสุนทรพจน์ที่บรรยายความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมได้ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่เคยปรากฎในประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี