โฉมหน้าอเมริกาในปัจจุบันนี้คือผลผลิตจากสงครามกลางเมือง ที่เป็นสงครามอันนองเลือดที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา มีผู้บาดเจ็บล้มตายไม่น้อยกว่า 1,030,000 ราย หรือร้อยละสามของประชากรทั้งหมดทหารเสียชีวิต 620,000 นายและพลเรือนเสียชีวิต 50,000 คน แต่ตัวเลขผู้เสียชีวิตที่แท้จริงอาจสูงถึง 750,000-850,000 นาย ซึ่งจำนวนผู้เสียชีวิตในสงครามกลางเมืองนี้มากกว่าจำนวนทหารอเมริกันที่เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่สองถึงสองเท่า
สงครามกลางเมืองจบสิ้นลงท่ามกลางเลือดชะโลมแผ่นดินและความสูญเสียของอเมริกันทั้งฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ รวมเวลาที่ทำสงครามกันสี่ปีเต็ม และจบลงด้วยการที่ฝ่ายใต้เป็นฝ่ายปราชัย
แต่จุดหักเหที่ทำให้กองทัพฝ่ายใต้ชนะกองทัพฝ่ายเหนือคือศึกในสมรภูมิเก็ตตี้สเบิร์ก ซึ่งที่นี่เป็นเมืองเล็กๆ แวดล้อมด้วยหุบเขาในรัฐเพนซิลเวเนีย การเผชิญหน้ากันโดยบังเอิญของทหารทั้งสองฝ่ายทำให้เมืองนี้กลายเป็นจุดพลิกผันทางประวัติศาสตร์
หลังสงคราม ศพหลายพันศพระเกะระกะเกลื่อนเมืองในฤดูร้อน นอกจากศพคนแล้วยังมีศพม้ากว่าสามพันซาก ซากเน่าเหล่านี้กลิ่นเหม็นเน่าตลบอบอวลไปทั้งเมือง จนชาวเมืองทั้งเก็ตตี้สเบิร์กและเมืองข้างเคียงล้มป่วยไปตามกันเพราะกลิ่นอันสุดทนทาน แต่ท่ามกลางความเศร้ายังมีแง่งามให้กล่าวถึงการเสียชีวิตของทหารคนหนึ่งนำมาสู่การก่อตั้งสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าจากสงคราม และเรื่องราวของทหารหนุ่มคนนี้ยังคงเล่าขานสืบต่อมาถึงปัจจุบัน
จ่าเอมัส ฮิวมิสตัน เป็นทหารอาสาสมัครที่เข้าร่วมสงครามกลางเมืองในอเมริกาโดยสังกัดฝ่ายเหนือ จำใจจากภรรยาและลูกที่ยังเล็กอีกสามคนไว้แนวหลัง เอมัสอาสามารบในทันทีที่ประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์นเรียกระดมพลเพื่อร่วมกองทัพ
การรบวันแรกแห่งสมรภูมิเก็ตตี้
สเบิร์ก ทหารฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ปะทะกันอย่างดุเดือด โดยฝ่ายใต้มีชัยไล่รุกทหารฝ่ายเหนือเข้ามาในเมืองเก็ตตี้สเบิร์ก จ่าเอมัสได้รับคำสั่งให้นำกองกำลังล่าถอยเข้ามาในเมือง แต่กองทัพฝ่ายใต้ก็ระดมยิงใส่อย่างหนักจนควันหนาทึบไปทั่วบริเวณ
จนกระทั่งสี่โมงเย็น ทหารฝ่ายเหนือหนีไปหลบในเมืองจนหมดสิ้น โดยมีทหารฝ่ายใต้ไล่ล่า นายพลอีเวลล์ได้ใจเร่งให้ทหารฝ่ายใต้ล่าทหารฝ่ายเหนืออย่างกระเหี้ยนกระหือรือ ทหารฝ่ายเหนือยิ่งตื่นตระหนกและเสียขวัญ พยายามหลบตามบ้านเรือนและสวนผลไม้ หากเห็นว่าหลบไม่พ้นก็หันมาสู้สุดชีวิต
บ่ายสี่โมงครึ่ง ทหารฝ่ายเหนือกว่า 900 คน ถูกสังหาร ในขณะที่กองทัพฝ่ายใต้รุกเข้ามาในเมืองเรื่อยๆ จ่าเอมัสต่อสู้อย่างสุดความสามารถ ทหารในหน่วยของเอมัสเสียชีวิตเกือบหมด จ่าหนุ่มติดอยู่ท่ามกลางวงล้อมทหารฝ่ายใต้
นาทีนั้น เอมัสนึกถึงภรรยาและลูกๆ สุดหัวใจ ระหว่างหาทางหลบหนี กระสุนนัดหนึ่งทะลุร่าง ภาพสุดท้ายที่เอมัสเห็นคือทหารฝ่ายใต้คนหนึ่งเล็งปืนใส่ตน เลือดกระเซ็นเปรอะไปทั่วลานแคบๆ ตรงหัวมุมถนนยอร์กและถนนสตราตัน แม้ว่าจะบาดเจ็บปางตาย จ่าเอมัสเอื้อมมือสั่นระริก ล้วงกระเป๋าหยิบภาพถ่ายบนกรอบโลหะขึ้นมาดูทั้งน้ำตา
ภาพนั้นเป็นภาพเด็กน้อยน่าตาน่ารักสามคนยืนเรียงกัน จ่าเอมัสจูบรูปนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าเลือดและน้ำตาปนกันอาบหน้า ก่อนสำนึกสุดท้ายจะดับวูบลง เอมัสเห็นภาพลูกๆ ทั้งสามหัวเราะร่าเริงหน้าบ้าน ในขณะที่ผู้เป็นแม่หันมายิ้มอ่อนโยนให้สามี จ่าเอมัสสิ้นใจในค่ำวันที่ 1 กรกฎาคมค.ศ.1863 ในลานแคบๆ สกปรกแห่งหนึ่งกลางเมืองเก็ตตี้สเบิร์ก
เช้าวันรุ่งขึ้น เด็กหญิงคนหนึ่งพบศพเอมัส ในมือยังกำรูปลูกทั้งสามคนไว้แน่น แม้จะสิ้นใจไปหลายชั่วโมงแล้วก็ตาม รูปลูกทั้งสามคนเป็นรูปที่ภรรยาของเอมัสส่งมาให้เมื่อหลายเดือนก่อน ดร.จอห์น ฟรานซิส บอร์น (John Francis Bourns) ประสบเหตุการณ์น่าเศร้านี้จากการมาเยือนเมืองเก็ตตี้สเบิร์ก รู้สึกสะเทือนใจอย่างยิ่งในฐานะที่เป็นพ่อคนหนึ่งจึงนำภาพนี้ลงหนังสือพิมพ์ และเขียนบรรยายใต้ภาพว่า
“ทหารฝ่ายเหนือผู้นี้บาดเจ็บสาหัสนอนรอความตายอย่างเงียบเหงาเศร้าสร้อยในมือถือกรอบรูปโลหะรูปลูกๆ ทั้งสามคนลูกชายสองคนและลูกสาวหนึ่งคน อายุเก้าขวบ เจ็ดขวบ และห้าขวบ คาดว่าเป็นลูกชายคนโตลูกสาว และลูกชายคนเล็ก โดยลูกชายคนสุดท้องนั่งบนเก้าอี้ตัวสูง ขนาบข้างด้วยพี่สาวและพี่ชายเสื้อแจ๊กเกตของลูกคนโตเป็นผ้าชนิดเดียวกับที่ตัดกระโปรงลูกสาว”
หนังสือพิมพ์ เดอะ ฟิลาเดลเฟีย เอ็นไควเรอร์ (The Philadelphia Inquirer)เขียนถึงจ่านิรนามผู้มีลูกสามคน โดยพาดหัวว่า“พ่อของใครกันหนอ” จากนั้นข่าวและบทความเรื่องทหารนิรนามกับรูปถ่ายปริศนาแพร่กระจายไปทั่ว
ทุกคนต่างเศร้าใจเมื่อได้เห็นภาพเด็กทั้งสามคน แม้ในเวลานั้นจะไม่รู้ว่าทหารผู้เสียชีวิตเดียวดายผู้นี้คือใคร หนังสือพิมพ์
ท้องถิ่นหลายฉบับเผยแพร่บทความ “พ่อของใครกันหนอ” ซ้ำแล้วซ้ำอีก เพราะต้องการค้นหาความจริงเกี่ยวกับเด็กน้อยทั้งสามคนในรูป และสามารถนำไปสู่การระบุอัตลักษณ์ของจ่าผู้วายชนม์ได้ว่าคือใคร
วันที่ 29 ตุลาคม ค.ศ.1863 หนังสือพิมพ์ ดิ อเมริกัน เพรสไบทีเรียน (The American Presbyterian) ตีพิมพ์เรื่องนี้
นางฟิลินดา ฮิวมิสตัน (Philinda Humiston) อ่านบทความและเห็นรูปภาพก็จำได้ทันทีว่า รูปเด็กทั้งสามคนคือลูกๆ ของนาง นั่นคือแฟลงคลินวัยแปดขวบ อลิซวัยหกขวบ และเฟรดคริกวัยเพียงสี่ขวบ
นางฮิวมิสตันอ่านจบ พลันตกตะลึง น้ำตาพรั่งพรูเต็มดวงตา เพราะเธอไม่ได้รับจดหมายจากสามีเลยแม้แต่ฉบับเดียว นับตั้งแต่ทหารทั้งสองฝ่ายปะทะกันที่เก็ตตี้สเบิร์ก แม้จะหัวใจสลาย นางก็กลั้นใจติดต่อหนังสือพิมพ์ดิ อเมริกัน เพรสไบทีเรียน
เมื่อดร.จอห์นทราบเรื่อง ก็รีบไปเยี่ยมนางฮิวมิสตัน ซึ่งโศกเศร้าแสนสาหัส เพราะตระหนักดีว่าตอนนี้อยู่ในฐานะแม่ม่าย
เสียแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ทำให้ทุกคนได้รู้ว่าจ่านิรนามคนนี้คือ จ่าเอมัส ฮิวมิสตัน สังกัดหน่วยที่ 154 ทหารอาสาสมัครนิวยอร์กศพของจ่าเอมัส ฮิวมิสตันที่ถูกฝังแบบขอไปทีและปราศจากหินป้ายหลุมฝังศพได้รับการนำขึ้นมาฝังใหม่ในหลุมที่ 14 แถวบี เช่นเดียวกับทหารนิวยอร์ก สหายร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ในสมรภูมิเก็ตตี้สเบิร์ก
เรื่องราวของจ่าเอมัส ฮิวมิสตันทำให้เกิดแรงบันดาลใจในการก่อตั้งสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า เพราะเด็กจำนวนมากสูญเสียพ่อแม่ไปในภาวะสงคราม โดยเฉพาะสงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อยาวนาน หลังจากสูญเสียสามี นางฮิวมิสตันก็ต้องทำงานหนักหาเลี้ยงลูกๆ ทั้งสามคนด้วยการเป็นช่างเย็บผ้าซึ่งรายได้ไม่ดีนัก แต่ต่อมาได้รับเงินช่วยเหลือจึงค่อยสะดวกสบายขึ้น
นอกจากนี้ ดร.จอห์นยังเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการเรี่ยไรเงินบริจาค เพื่อสร้างสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าจากสงคราม แล้ว
บูรณะตึกหลังหนึ่งบนเนินเซมิเทรี่ฮิลล์ในเก็ตตี้สเบิร์กเป็นสถานที่ตั้งโรงเลี้ยงเด็กกำพร้านี้โดยเปิดให้บริการในเดือนตุลาคม ปี ค.ศ1866หรืออีกสามปีหลังเกิดสงครามในเก็ตตี้สเบิร์ก ในระยะแรกมีเด็กกำพร้า 30 คน รวมทั้งลูกกำพร้าของครอบครัวฮิวมิสตันด้วย แม่ม่ายฮิวมิสตันเองก็อาศัยอยู่กับเด็กกำพร้าที่นี่ในฐานะผู้ดูแล
สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าจากสงครามแห่งนี้มีเด็กกำพร้าเพียง 30 คน ในระยะแรกต่อมาจำนวนเด็กเพิ่มขึ้นเป็น 200 คน เด็กทุกคนได้รับการศึกษาเล่าเรียนและที่พักอาศัยนอกจากนี้ยังมีการสอนให้เด็กๆ เคารพต่อทหารผู้วายชนม์ ด้วยการนำดอกไม้ไปวางบนหลุมศพทหารในสุสานทหารแห่งเก็ตตี้สเบิร์กที่อยู่ข้างๆ ในวันทหารผ่านศึกทุกปี ซึ่งทหารบางคนคือพ่อของเด็กเหล่านั้นนั่นเอง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี