พอเรารับเอาลัทธิการเมืองเข้ามาในประเทศไทย โดยนักเรียน “หัวนอก” ตั้งแต่ยุคก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 จนมาถึงวันนี้ เราก็พยายามจะจับทุกอย่างที่เกี่ยวกับการเมือง – การปกครองยัดลงใน “กล่องเลือกตั้ง” ทั้งหมด
เพราะลัทธิการเมืองที่เรียกว่า “ประชาธิปไตย” สอนว่าสังคมประเทศใดๆก็ตาม จะเป็นประชาธิปไตยได้จะต้องมีการเลือกตั้ง
คำว่า “การเลือกตั้ง” จึงเป็นทั้งพิธีกรรมและคาถาของประชาธิปไตยในสำนึกของคนทั่วไป ใครหรืออะไร(สถาบัน ขนบธรรมเนียม ประเพณี) ที่ไม่ผ่านการเลือกตั้ง หรือไม่ได้รับการยอมรับจากคนที่มีอำนาจจากการเลือกตั้งก็จะถือว่าไม่เป็นประชาธิปไตย!
แต่มีอะไรบ้างเล่าที่ไม่ได้ผ่านการเลือกตั้ง ?
จะแตกต่างกันก็เพียงเลือกทางตรงหรือทางอ้อม หรือเลือกโดยใช้กล่องเลือกตั้งหรือไม่ใช้
ในสมัยปู่ย่าตาทวดของเราขึ้นไป ก็ไม่เคยเลือกผู้นำชุมชน - ผู้นำหมู่บ้าน โดยการลงคะแนนใส่กล่องเลือกตั้ง เพราะ "ผู้นำ" ในยุคนั้นปรากฏตัวขึ้นเองจากการกระทำของตน จนเป็นที่ยอมรับรับนับถือของชาวบ้าน
เช่น บางคนที่ชอบใส่ใจทุกข์สุขของผู้อื่น ก็ได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้ดูแลหมู่บ้านหรือชุมชนให้ปรกติสุข(เป็นผู้ใหญ่บ้าน - กำนัน) คนที่มีความลึกซึ้งทางด้านชีวิต ก็ได้รับการยกย่องให้เป็นเสาหลักทางด้านจิตใจ รวมทั้งพระภิกษุสงฆ์ด้วย เรียกว่า "ปราชญ์ชาวบ้าน" บางคนเก่งเรื่องยา เรื่องรักษาคนป่วย ก็ได้รับการยอมรับว่าเป็นหมอ ฯลฯ
ในหมู่บ้านหรือชุมชนนั้นจะมีผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขา มากบ้าง น้อยบ้าง..ถ้าในหมู่บ้าน-ชุมชนของตนไม่มีก็ต้องไปขอความช่วยเหลือจากหมู่บ้าน -ชุมชนอื่น เช่น "หมอยา - หมอตำแย" เกิดเป็นความสัมพันธ์แบบเครือข่ายในวิถีชีวิตของพวกเขา
ทั้งหมดคือการเลือกตั้ง และเป็นการเลือกตั้งทางตรง หรือประชาธิปไตยทางตรง โดยไม่มีอามิสสินจ้างใดๆ เป็นการเลือกตั้งที่คำนึงถึงประโยชน์สุขของทุกคนในหมู่บ้านหรือชุมชน
ในระดับประเทศ..เราก็มีการเลือกโดยไม่ผ่านกล่องเลือกตั้งเช่นกัน นั่นคือการเลือกที่จะธำรงไว้ซึ่งพระมหากษัตริย์และสถาบันพระมหากษัตริย์
ทุกวันนี้ “พวกคอมมิวนิสต์และพวกลิเบอรัล” จะโพนทะนาว่าพระมหากษัตริย์ไม่ได้ผ่านการเลือกตั้ง จึงไม่มีความชอบธรรมใดๆที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมือง – การปกครองประเทศ
พวกเขาไม่ต้องการให้มีพระมหากษัตริย์และสถาบันพระมหากษัตริย์..หรือมีก็เป็นแต่เพียงสัญลักษณ์ ห้ามทำกิจกรรมใดๆที่เกี่ยวกับการเมือง – การปกครอง
มีคนจำนวนไม่น้อยที่แห่แหนไปตามพวกเขา ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก แต่เสียงของพลเมืองทั้งประเทศส่วนใหญ่ก็ยังคงเลือกพระมหากษัตริย์และสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ดี
การเลือกตั้งที่เพิ่งผ่านไปจึงเป็นการเลือก 2 ครั้ง
ครั้งแรก... เลือกโดยวิธีธรรมชาติอย่างที่กล่าวมาแล้ว
ครั้งที่ 2 ก็ยังคงเลือกที่จะมีพระมหากษัตริย์ เป็นการยืนยันผ่านกล่องเลือกตั้ง ด้วยการเลือกพรรคการเมืองที่จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์และสถาบันพระมหากษัตริย์
แม้คนที่เลือกพรรคการเมืองที่ไม่เอาพระมหากษัตริย์ ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่เอาพระมหากษัตริย์ไปด้วยทุกคน
ยิ่งหลังเลือกตั้งก็ยิ่งเห็นชัดเจนว่าพลเมืองเกือบทั้งประเทศเลือกพระมหากษัตริย์ฯ ส่วนคนที่โพนทะนาว่าพระมหากษัตริย์ไม่มีความชอบธรรมในด้านการเมือง – การปกครองนั้นกลับเหลือ “ที่ยืน” แคบลงทุกที!
ใครก็ตามที่โพนทะนาว่าพระมหากษัตริย์ไม่มีความชอบธรรมใดๆ...ฯ เพราะไม่ได้ผ่านกล่องเลือกตั้งจึงเป็นการมองอย่างผิวเผิน มีอคติ และหลงใหลอยู่กับกล่องเลือกตั้ง
การที่พลเมืองส่วนมากยังคงยกย่องและรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้นั้น เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาอย่างลึกซึ้ง ไม่ใช่ออกมาก่นประณามว่าพวกเขาโง่ ล้าหลัง ไม่ทันโลก
เพราะถ้าใครก็ตามที่ได้เห็นและเข้าใจ “นิเวศวิทยาด้านจิตวิญญาณ” ก็จะเข้าใจคนไทยและสังคมไทยได้ดี เขาอาจจะเลิกมองคนไทยและสังคมไทยผ่านลัทธิ – อุดมการณ์และทฤษฎีใดๆไปเลย
นั่นแสดงว่าเขาตาสว่างได้จริงแล้ว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี