1.
ถ้าผมขยันเขียนหนังสือสักหน่อย ก็จะเขียนเรื่อง “ทำอย่างไรให้ตัวเองโง่”
เนื้อหาก็จะมีประมาณว่า...ยุคนี้เป็นยุคที่ผู้คนนิยมความโง่กัน เพื่อให้ทันสมัย เราควรต้องโง่ให้ทันและโง่ให้มากกว่า
วิธีการก็คือ..ใช้หัวคิดให้น้อยหรือไม่ใช้เลย ไม่ต้องศึกษาหาข้อมูล แต่แสดงความเห็นให้เยอะเข้าไว้
ไอ้ความคิดเห็นนั่นก็ไม่จำเป็นต้องคิดเอง จำของคนอื่นๆมา โดยจะต้องไม่ใช้ “สติ” ของตัวเอง แต่ต้องใช้ “จริต” หรือ “อนุสัย” ของตัวเองว่าชอบความคิดความเห็นของคนอื่นแบบไหน - อย่างไร
ความคิดเห็นของคนอื่นที่ไม่ถูกจริตหรืออนุสัยของตนก็ต้องรีบเข้าไป “โชว์กร่าง” ก่นด่าทันที ก่นด่าด้วยถ้อยคำรุนแรงเข้าไว้ แจก “กล้วย” ไปด้วยยิ่งดี เพราะมันจะทำให้เราปลาปลื้มและภูมิใจในตัวเองว่า “รู้ดี - รู้ชอบ” กว่าใครในสากลจักรวาล
ความคิดเห็นใด และข้อมูลใดที่มีประโยชน์ต่อการพิจารณาก็อย่าไปอ่าน เพราะมันจะทำให้เรามีสติปัญญาขึ้นมาได้ง่ายๆ และแม้ตนจะรู้เห็นว่าความคิดนั้นและข้อมูลนั้น “เป็นจริง” (ไม่มากก็น้อย) ก็อย่าไปอ่าน ต้องรีบบอกตัวเองว่ามัน “เป็นเท็จ”
สรุปก็คือ ต้องปิดหู ปิดตา และปิดใจตัวเองเข้าไว้ให้สนิท จึงจะโง่ได้สมบูรณ์แบบ
เมื่อเราโง่ได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว มันจะเกิดความคิดวาบขึ้นมาว่าเรา “ตาสว่าง” แล้ว!
รู้รอบและรู้ทั่วจักรวาลแล้ว!
จากนั้น...เราต้องรีบกระจายความโง่ออกไปโดยเร็วให้มันระบาดเหมือนเชื้อโรค เพื่อให้คนอื่นได้มีโอกาสโง่เหมือนเราและสรรเสริญเราว่าโง่เกินกว่าใครจะคาดคิด โคตรโง่หรือโง่สุดยอดเลย!
เรากำลังอยู่ในยุคสมัยที่ทุกคนมีสิทธิและเสรีภาพที่จะโง่ได้อย่างภาคภูมิใจ!
2.
แต่ก็ต้องทำใจยอมรับด้วยว่ายังมีคนเห็นว่าเราฉลาดด้วย คือ ต่อให้เราโง่และพยายามโง่มากมายเพียงใดก็ตาม ก็ย่อมจะมีคนเห็นว่าเราฉลาดจนได้!
ก็ขอให้ภูมิใจในตนเอง เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะเป็นได้ทั้งคนโง่และคนฉลาดในเวลาเดียวกัน ในเรื่องเดียวกัน
เรากำลังมีชีวิตอยู่ในยุคสมัยที่แสนมหัศจรรย์มาก!
ทันทีที่เราแสดงความเห็นเรื่องการเมือง ไม่ว่าจะเรื่องเล็กน้อยหรือใหญ่โตแค่ไหน จะมีคนบอกเราทันทีว่าเราโง่ แต่พร้อมกันนั้นก็จะมีคนบอกเราว่าฉลาด
ถ้าความเห็นโง่ๆของเราถูกใจใคร - ฝ่ายใด เราก็จะได้รับความชื่นชมและได้รับการยกย่องว่าเราโง่สุดยอด โง่ดักดานน่านับถือมาก แต่ถ้าตรงกันข้าม ก็มีคนก่นด่าเราว่าฉลาด มีความคิด - ความเห็นน่ารังเกียจ
เมื่อเราต่างก็เป็นทั้งคนโง่และฉลาดในขณะเดียวกัน ในเรื่องเดียวกัน เราจึงเหมือนคนเมา พอแถไปข้างหน้าได้หนึ่งก้าว แล้วก็ถลาไปข้างหลังอีกหนึ่งก้าวหรือสองก้าว บางครั้งก็เซออกไปข้างซ้ายที ขวาที เดินอยู่ทั้งคืนก็ยังย่ำอยู่ที่เดิม
เมื่อแต่ละคนเมาและเดินย่ำอยู่กับที่ สังคมที่เป็นผลรวมของคนเมาอย่างเราทั้งประเทศก็มีอาการเหมือนกัน คือ “ย่ำอยู่กับที่”
เพราะความโง่กับความฉลาดมันต่อสู้ขัดแย้งกัน ทำให้เราก้าวไปข้างหน้า แล้วก็ถอยไปข้างหลัง หรือด้านข้าง กว่าจะก้าวไปข้างหน้าได้ก็ต้องใช้เวลานานมากและสะเปะสะปะ
วันใดที่เราฉลาดหรือโง่อย่างใดอย่างหนึ่งในเรื่องเดียวกัน ในเวลาเดียวกัน วันนั้นสังคมไทยจึงจะก้าวไปข้างหน้ามากกว่าถอยหลัง เพราะถ้าเรา “รู้ตัว” ว่าเราโง่หรือฉลาด เราก็สามารถปรับปรุงแก้ไขตัวเองได้
ในชีวิตประจำวัน...เรื่องบางเรื่องเราจำเป็นต้องโง่ บางเรื่องก็ต้องฉลาด
แต่สำหรับเรื่องประเทศชาตินั้นทุกคนรู้อยู่แล้วว่าต้องการพลเมืองที่มีคุณสมบัติอย่างไร แต่แม้เราจะรู้...เราก็อาจจะกลับมาเผชิญกับปัญหาเดิมอีก คือ “ไม่รู้ว่าอย่างไหนโง่ อย่างไหนฉลาด” อย่างที่แบ่งฝ่าย – แบ่งพวกก่นด่ากันอยู่ทุกวันนี้
และมันก็จะส่งผลให้เราและประเทศชาติ “เมา” ต่อไปอีก!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี