วันนี้ ถ้าเราไม่ใช้อคติ ไม่ว่าจะเป็นอคติที่มาจาก ฉันทาคติ (ลำเอียงเพราะรัก) โทสาคติ (ลำเอียงเพราะโกรธ) โมหาคติ (ลำเอียงเพราะเขลา) หรือ ภยาคติ (ลำเอียงเพราะกลัว) เราคงมองเห็นร่วมกันได้ว่า รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 และ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มีปัญหา
เราไม่อยากกล่าวหาคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ หรืออาจารย์มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการ ที่ไม่ยอมตอบคำถามเมื่อมีปัญหา จนถูกตำหนิว่าทำลอยตัว เข้าทำนองผูกแล้วไม่ยอมช่วยกันแก้
ทั้งไม่อยากกล่าวหาสภานิติบัญญัติแห่งชาติที่ลงมติผ่าน พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฉบับเจ้าปัญหานี้ออกมา
เพราะประการแรก รัฐธรรมนูญฉบับนี้ พวกเราประชาชนคนไทยลงมติยอมรับกันเอง และยอมรับกันแล้ว (แม้โดยส่วนตัวผู้เขียน จะแสดงจุดยืนหลายครั้งว่าไม่เห็นด้วยกับการลงประชามติแบบนี้ และในเวลานี้) เมื่อเราประชาชนลงมติยอมรับกันแล้ว จะไปชี้นิ้วโทษคนอื่นก็ดูจะประหลาดเอาการ
ประการต่อมา รัฐธรรมนูญฉบับนี้ รวมทั้งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฉบับเจ้าปัญหานี้ ร่างขึ้นภายใต้ภยาคติมากมายอันเกิดจากภาพหลอนทางการเมืองในอดีต ความตั้งใจที่จะร่างเพื่อไม่ให้เกิดภาพซ้ำ บวกกับความต้องการของกลุ่มผู้กุมอำนาจรัฐ ทำให้รัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวออกมาพิลึกพิลั่น เมื่อนำมาปฏิบัติก็เกิดปัญหาต่างๆ ต่อเนื่องมาจนเท่าทุกวันนี้
สองปัญหาล่าสุดที่ยังคาราคารซัง แก้ไม่ตก คือ ปัญหาเรื่องจะใช้สูตรไหนมาคำนวณจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ ให้ถูกต้องและเป็นที่ยอมรับ และ ปัญหาการตัดสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของบุคคลที่เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชน
ปัญหาแรก มีท่านผู้รู้ทั้งที่อยู่ในแวดวงการเมือง และที่เป็นนักวิชาการทางคณิตศาสตร์ที่มีชื่อเสียงจำนวนมาก ออกมาแนะนำวิธีคิดคำนวณที่ถูกต้องตามหลักคณิตศาสตร์ และได้ผลลัพธ์ที่ไม่ขัดกับบทบัญญัติในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 128 (5) กล่าวคือการจัดสรรจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อให้แก่บรรดาพรรคการเมืองที่มีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งต่ำกว่าจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่พรรคการเมืองนั้นพึงมี ต้องไม่มีผลให้พรรคการเมืองใดมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเกินจำนวนที่พรรคนั้นจะพึงมีได้
ปัญหาแรกนี้ จนทุกวันนี้ ก็ยังไม่รู้ว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. จะเอาอย่างไร แต่เท่าที่เคยเคาะออกมา ก็ล้วนถูกคัดค้านเพราะขัดบทบัญญัติมาตรา 128 (5) ที่เคาะให้พรรคเล็กพรรคน้อยได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อมากกว่าจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่พรรคนั้นจะพึงมีได้
ปัญหาที่สอง คือ ปัญหาการตัดสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของบุคคลที่เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชน
รัฐธรรมนูญ และ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฉบับปัจจุบัน บัญญัติไว้ในมาตรา 98 (3) และมาตรา 42 (3) ตามลำดับ ด้วยข้อความเดียวกันว่า
“บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
.....................
......................
(3) เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใด ๆ”
บทบัญญัติดังกล่าวนี้ ไม่เคยปรากฏในรัฐธรรมนูญฉบับใดมาก่อน ดังนั้นจึงมีการพยายามตีความและมีปฏิบัติการมากมายเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ฝ่ายตน เมื่อเกิดกรณีคณะกรรมการการเลือกตั้งจะตัดสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เหตุเพราะถือหุ้นสื่อ
และก่อนหน้านี้ ก่อนการเลือกตั้ง นายภูเบศวร์ เห็นหลอด ผู้สมัคร สส.พรรคอนาคตใหม่ ก็ถูกถอนชื่อออกจากประกาศรายชื่อผู้สมัคร สส. แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง เขตเลือกตั้งที่ 2 จังหวัดสกลนคร โดยคำวินิจฉัยของศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง เนื่องจากมีผู้ร้องเรียนว่า นายภูเบศวร์ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ หจก. มาร์ส เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ เซอร์วิส และหนึ่งในวัตถุประสงค์ของบริษัทนี้ คือการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์ ทั้งๆ ที่ตัวบริษัทจริงทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้างทั่วไป
เหตุการณ์ทั้งสองนี้ นำไปสู่การยื่นร้องเรียน กกต. จากขั้วการเมืองทั้งสองฝ่ายเพื่อให้ตัดสิทธิ์นักการเมืองฝ่ายตรงข้ามที่ถือหุ้นสื่อ
กรณีของนายธนาธรนั้นเป็นที่ชัดเจนว่าถือหุ้นสื่อ จะรอดหรือไม่รอด อยู่ที่หลักฐานข้อเท็จจริงว่าโอนหุ้นดังกล่าวออกไปเมื่อไร
ส่วนกรณีถือหุ้นในทำนองเดียวกับนายภูเบศวร์นั้น ถ้าใช้บรรทัดฐานเดียวกับที่ปฏิบัติต่อนายภูเบศวร์ ว่าที่ สส. อีกหลายสิบ หรือกระทั่งอาจนับร้อยคน ที่มาจากหลากหลายพรรคคงต้องถูกตัดสิทธิ์กันหมด เพราะคนเหล่านี้ส่วนใหญ่ย่อมมีธุรกิจหรือถือหุ้นในบริษัทต่างๆ รวมทั้งมีหุ้นในบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ทั้งนั้น โดยที่อาจไม่ทราบว่าบริษัทที่ตนถือหุ้นอยู่นั้นมีวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการดำเนินกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนปนอยู่ด้วย
เรื่องนี้จะโทษผู้สมัครรับเลือกตั้งเสียทีเดียวก็ไม่ได้ เพราะเวลาจดทะเบียนตั้งบริษัทนั้น เขาสนใจแต่ว่า ในหนังสือจดทะเบียนระบุกิจการที่เขาตั้งใจจะทำหรือเปล่าเท่านั้น กิจการอื่นๆ ที่ติดมาในแบบฟอร์มไม่มีใครสนใจ เนื่องจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้ามีแบบฟอร์มสำเร็จรูปไม่กี่แบบมาให้เลือกกรอก ซึ่งแต่ละแบบนั้น ระบุวัตถุประสงค์ของธุรกิจไว้ 20 กว่าถึง 30 กว่า หรือ 40 กว่าข้อ ไม่มีใครสนใจหรอกครับว่าในแบบฟอร์มสำเร็จรูปนั้นมีธุรกิจสื่อหรือธุรกิจอะไรอยู่บ้าง นี่คือความจริง คนที่ทำธุรกิจย่อมเข้าใจและยืนยันความจริงข้อนี้ได้
ยิ่งไปกว่านั้น คนที่เล่นหุ้น จะมีใครบ้างเล่าที่จะรู้ว่าหุ้นของบริษัทที่ตนถืออยู่นั้น มีหรือไม่มีวัตถุประสงค์ในการทำกิจการสื่ออยู่ในหนังสือรับรองการจดทะเบียนบริษัท
มาตรา 98 (3) ในรัฐธรรมนูญ และมาตรา 42 (3) ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เรื่องลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้น ถ้าตีความตามเจตนารณ์ ก็ไม่ควรตัดสิทธิ์นักการเมืองที่ถือหุ้นในบริษัทที่ไม่ได้ผลิตสื่อจริงๆ แต่ถ้าตีความตามตัวอักษร ใครที่ถือหุ้นสื่อ แม้โดยข้อเท็จจริงจะมิได้ประกอบธุรกิจสื่อเลย ก็ต้องถูกตัดสิทธิ์ไม่ให้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ข้อเท็จจริงตอนนี้คือ สังคมเข้าใจว่า ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งเลือกตีความตามตัวอักษรไปแล้วในกรณีของนายภูเบศวร์ เห็นหลอด ผู้สมัคร สส. แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง เขตเลือกตั้งที่ 2 จังหวัดสกลนคร พรรคอนาคตใหม่
ปัญหาคือ กกต. จะทำอย่างไรเมื่อมีผู้ร้องเรียนให้ตรวจสอบคุณสมบัติผู้สมัครและว่าที่ สส. ที่โดยนิตินัยถือหุ้นบริษัทที่มีวัตถุประสงค์ในการทำสื่อ แต่โดยพฤตินัยมิได้ประกอบธุรกิจสื่อเลย
กกต. ไม่ทำอะไรเลย ก็คงไม่ได้
ถ้าทำ โดยยื่นเรื่องให้ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งวินิจัยเหมือนกรณีนายภูเบศวร์ แรงกระเพื่อมทางการเมืองจะมากขนาดไหน
ส่วนศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งนั้น จะยืนยัน หรือจะกลับคำวินิจฉัย ล้วนต้องมีคำอธิบายที่เพียงพอจึงจะสามารถคลี่คลายสถานการณ์ในเรื่องนี้ได้
เมืองไทยเป็นของเราคนไทยทุกคน คนไทยเราควรใช้เหตุและผลมาช่วยกันแก้ไขปัญหา อย่าปล่อยให้นักการเมือง ขั้วการเมืองที่ต่อสู้แย่งชิงอำนาจ กองเชียร์กองหนุนที่หยาบคายไร้เหตุผลของทั้งสองฝ่าย รวมทั้งต่างชาติเข้ามาบงการและสร้างสถานการณ์ให้เลวร้ายลงไปอีก
ณรงค์ฤทธิ์ ศรีรัตโนภาส
สำนักที่ปรึกษาร้อยชักสาม
2 พฤษภาคม 2562
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี