สถานการณ์ในบ้านลุงแซมตอนนี้ก็ยังเรื่อยๆ มาเรียงๆ แขวะกัดกันไปมา โดยเฉพาะจิกกัดรัฐมนตรียุติธรรม วิลเลียม บาร์ (William Barr) อย่างถึงพริกถึงขิง ซึ่งมาแทนรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ร็อด โรเซนสไตน์ (Rod Rosenstein) ที่เคยดูแลเรื่องการสอบสวนกรณีการแทรกแซงของรัสเซียในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อปี ค.ศ. 2016
อีตาร็อคนี่ล่อตาลุงผมเป๋แบบกัดไม่ปล่อยจนสุดท้ายก็ต้องปล่อย พร้อมเก้าอี้เด้งจากก้น คนที่มาใหม่คือลุงบาร์ ผู้เป็นเด็กเส้นตาทรัมป์นั่นเอง มาถึงก็เลียก้นให้ลุงแกจนขาวสะอาดกรณีสืบสวนเรื่องมีเอี่ยวหมีขาว ตอนอัยการพิเศษ โรเบิร์ต มุลเลอร์สอบสวนเสร็จ ลุงบาร์ก็สรุปสำนวนยาวยืดแบบประแป้งแต่งตัวให้ลุงทรัมป์ขาววอกหล่อพ้นมลทินไปเลย
เล่นเอาฝ่ายเดโมแครตโวยว่าด่วนสรุปเกินไปไหมล่ะเฮียบาร์ จากนั้นก็ท้าให้เฮียบาร์มาลุยไฟ เอ๊ย ขึ้นตอบคำถามต่อรัฐสภา แต่เฮียบาร์ไม่ยอมมา ฝ่ายเดโมแครตเลยล้อเลียนด้วยการบอกว่าไอ้นี่ป๊อดหรือสแลงอเมริกีนต้องบอกว่า “ชิคเก้น” จริงๆ คือปอดแหก อะไรทำนองนี้ แถมมีการกินไก่เคเอฟซีเย้ยออกสื่ออย่างสนุกสนาน
ส่วนสถานการณ์ในเวเนซุเอลาก็น่าปวดหัว เพราะลุงแซมไปเสือกจนประเทศลุกเป็นไฟ สาเหตุของการเสือกคือผลประโยชน์อเมริกาล้วนๆ เพราะประเทศนี้มีน้ำมันปริมาณมหาศาล เรื่องนี้ต้องเขียนเล่ายาว ขอติดค้างไว้ก่อน อาทิตย์นี้มีเรื่องที่สร้างความแตกตื่นตกใจให้มะริกันมากกว่าเรื่องน้ำมันขึ้นราคาและภาษี นั่นคือเรื่องการแพร่ระบาดของโรคหัด
โรคหัดหรือที่อเมริกาเรียกว่า “measles” เป็นโรคที่หมู่เฮาชาวเอเซียและประเทศโลกที่สามคุ้นเคยกันดี ข้อมูลจากวิกิพีเดียอธิบายว่า โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัสหัด ผู้ป่วยจะมีไข้สูงเกิน 40 องศาเซลเซียส ไอ น้ำมูกไหลจากเยื่อจมูกอักเสบ และตาแดงจากเยื่อตาอักเสบ มีจุดสีขาวในปาก มีผื่นเป็นผื่นแดงบนใบหน้า จากนั้นจึงลามไปทั่วตัว อาจถึงขั้นเสียชีวิต
โรคหัดติดต่อทางการไอและการจาม หรืออาจติดต่อผ่านการสัมผัสน้ำลายหรือน้ำมูกของผู้ป่วย สามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน ซึ่งสามารถทำให้จำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคหัดลดลงถึง 75% ในช่วง ค.ศ. 2000-2013
ในแต่ละปีจะมีผู้ป่วยโรคหัดประมาณ 20 ล้านคน พบในทวีปแอฟริกาและทวีปเอเชีย อเมริกาประกาศลั่นโลกอย่างภาคภูมิใจมากว่า เมื่อสิ้นปี ค.ศ.2016 จะไม่มีใครป่วยด้วยโรคหัดอีกต่อไปในอเมริกา นั่นคือเมื่อสองปีก่อน
ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่าในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา พบรายงานผู้ป่วยโรคหัดในทุกภูมิภาคของโลก โดยมีจำนวนผู้ป่วยสูงสุดในอินเดีย 65,657 ราย รองลงมาคือยูเครน 36,520 ราย และฟิลิปปินส์ 16,112 ราย ตามลำดับ นอกจากนี้ยังพบการระบาดในประเทศบราซิล เยเมน ไนจีเรีย คองโก เซอร์เบีย มาดากัสการ์ ซึ่งล้วนแต่เป็นประเทศโลกที่สามทั้งสิ้น
ปีนี้เรื่องการแพร่ระบาดของโรคหัดกลายเป็นเรื่องระดับโลก เพราะเกิดการแพร่ระบาดในประเทศที่เจริญแล้วอย่างสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 2 คน ทำให้โลกตะวันตกแตกตื่นเตรียมรับมือ ยังไม่ทันหายตกอกใจ อเมริกาที่เคยยืดอกประกาศว่า สิ้นปี ค.ศ.2016 โรคหัดจะหมดไปจากอเมริกาก็ต้องอกสั่นขวัญแขวน เมื่อพบว่าโรคหัดระบาดลามมาจนถึงขั้นปิดมหาวิทยาลัย
ประเด็นเรื่องการฉีดวัคซีนโรคหัดเคยเป็นประเด็นร้อนในอเมริกามาแล้ว เพราะพ่อแม่ในอเมริกาบางกลุ่มต่อต้านการฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัด แม้ผู้เชี่ยวชาญเเห่งองค์การอนามัยโลกกล่าวว่าการฉีดวัคซีนเป็นเครื่องมือทางสาธารณสุขที่ดีที่สุดในการป้องกันโรค แต่พ่อแม่มะริกันก็ยืนยันผลวิจัยว่า วัคซีนป้องกันโรคหัด คางทูมและหัดเยอรมัน ทำให้เด็กเป็นออทิสซึ่ม
นอกจากนี้ยังมีพ่อเเม่จำนวนมากต่อต้านวัคซีนทุกชนิด โดยอ้างว่าคือสิทธิของพ่อแม่ เอาง่ายๆ แค่ในปี ค.ศ. 2017 เฉพาะแค่รัฐเท็กซัส มีเด็ก 50,000 คนที่พ่อเเม่ไม่ยอมให้ฉีดวัคซีน
อาทิตย์ก่อนมีข่าวการแพร่ระบาดของหัดจนถึงต้องปิดมหาวิทยาลัยกันเลยทีเดียว การประกาศสั่งกักกัน ในมหาวิทยาลัย 2 แห่งของรัฐแคลิฟอร์เนียคือ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียสเตท วิทยาเขตลอสแอนเจลิส (California State University) หรือ Cal State LA และมหาวิทยาลัย UCLA ที่ตั้งอยู่ในลอสแอนเจลิส ซึ่งที่นี่คนไทยรู้จักกันดี
ในส่วนของมหาวิทยาลัย Cal State LA พบว่าเกิดการระบาดที่ห้องสมุดจนต้องสั่งกักโรค ส่งผลกระทบต่อพนักงานมหาวิทยาลัยจำนวน 200 คน ซึ่งมีนักศึกษารวมอยู่ในกลุ่มถูกสั่งกักด้วยเช่นกัน ส่วนมหาวิทยาลัย UCLA นักศึกษาจำนวน 119 คน และพนักงานจำนวน 8 รายป่วยโรคหัดในแคมปัสเมื่อต้นเดือน และไม่สามารถให้หลักฐานยืนยันถึงการฉีดวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันได้ ถูกสั่งกักตัว
ก่อนหน้านี้มีการระบาดที่นิวยอร์กและวอชิงตัน เจ้าหน้าที่สาธารณสุขออกมาตำหนิว่าทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากความเชื่อเรื่องการไม่ฉีดวัคซีนป้องกันโรค ซึ่งเป็นความเชื่อที่แพร่หลายไปทั่วอเมริกาในเวลานี้ การแพร่ระบาดของหัดที่มาเยือนอเมริกาอีกครั้ง ทำให้ทุกคนตื่นตกใจ โดยเฉพาะพ่อแม่ นาทีนี้คือปัญหาใหญ่กว่าเรื่องทรัมป์จะกระทืบเวเนซุเอล่าหรือว่าฟัดกับอาตี๋คิมตอนไหนเสียอีก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี