ประชาธิปัตย์ต้องตัดสินใจ
การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พศ. 2562 ภายใต้บทบัญญัติของ รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 และ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 ครั้งนี้ นับเป็นการเลือกตั้งที่มีปัญหามากที่สุดครั้งหนึ่ง ที่ประวัติศาสตร์การเมืองไทยต้องบันทึกไว้
ประกอบกับการทำงานของคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่เป็นกลาง ประกาศผลการเลือกตั้งล่าช้าเป็นประวัติการณ์อย่างน่าสงสัย และโดยเฉพาะล่าสุด การใช้สูตรคำนวณจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ ที่มีผลให้พรรคการเมืองเล็กๆ จำนวน 11 พรรคที่มีคะแนนเสียงไม่ถึง 7 หมื่นกว่าคะแนน ได้รับการแบ่งโควต้า สส.แบบบัญชีรายชื่อมาพรรคละ 1 คน ซึ่งค้านสายตานักกฎหมายทั่วไป รวมแม้กระทั่งอดีตผู้พิพากษาที่มีชื่อเสียงอันเป็นที่ประจักษ์บางท่านถึงกับเอ่ยปากว่า งงอยู่เหมือนกัน ไม่รู้ว่าพรรคที่คะแนนเสียงต่ำกว่าเจ็ดหมื่นหนึ่งได้ผู้แทนได้อย่างไร มันเพี้ยนไปหมดแล้ว !
ครับ มันเพี้ยนไปหมดแล้ว เพี้ยนตั้งแต่การร่างกติกา มาจนถึงการปฏิบัติตามกติกาที่ร่าง เมื่อผลการเลือกตั้งออกมาไม่ได้ตามที่คิด ก็ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้มันได้ ทำทุกวิถีทางให้ฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาล และทำทุกวิถีทางให้ฝ่ายตนตั้งรัฐบาลได้
กระนั้น จนถึงวันนี้ ดูเหมือนมีเพียงพรรคประชาธิปัตย์พรรคเดียวเท่านั้น ที่จะชี้ชะตาว่ารัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จากพรรคพลังประชารัฐจะตั้งได้หรือไม่ เพราะพรรคประชาธิปัตย์ยังไม่ตอบอะไรชัดเจน ภายในพรรคเองก็ยังมีความคิดเห็นแตกต่างกันอยู่ ในขณะที่พรรคขนาดเล็ก และขนาดกลางอื่นๆ ที่ยังไม่ทิ้งความเป็นพ่อค้า แบะท่าสนับสนุนอยู่แล้วถ้าพรรคพลังประชารัฐสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้จริง รอเพียงการมาของพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น ทุกอย่างก็จะลงตัว
ด้วยความจริงข้างต้นนี้ พลังทางสังคมที่หนุนพลเอกประยุทธ์และ คสช. จึงบีบมาที่พรรคประชาธิปัตย์อย่างรุนแรง บ้างประกาศจะไม่เลือกพรรคประชาธิปัตย์อีก ถ้าไม่เข้าร่วมรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ บ้างกล่าวหากระทั่งว่า ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ร่วมรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ก็เท่ากับพรรคประชาธิปัตย์ทำร้ายประเทศชาติ เห็นแก่พรรค มากกว่าเห็นแก่ชาติ
ด้านแกนนำพรรคประชาธิปัตย์เอง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่อยากร่วมรัฐบาลกับพลเอกประยุทธ์ หรือกลุ่มที่ไม่อยากเข้าร่วม ต่างพูดคล้ายคลึงกันว่า ยังตอบอะไรไม่ได้ ต้องรอการประชุมวันที่ 15 พฤษภาคมนี้ก่อน ต้องรอมติของที่ประชุมร่วมระหว่างกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่กับ สส. ที่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามาก่อน
คำตอบของแกนนำพรรคดังกล่าว พิจารณาให้ถ่องแท้แล้วก็แปลกเอาการ เพราะก่อนการเลือกตั้ง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ออกมาประกาศว่า
“ชัดๆ เลยนะครับ ผมไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ต่อ แน่นอน เพราะการสืบทอดอำนาจ สร้างความขัดแย้ง และขัดกับอุดมการณ์ของประชาธิปัตย์ที่ว่า ประชาชนเป็นใหญ่ 5 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจย่ำแย่ ประเทศเสียหายมามากพอแล้ว”
แกนนำพรรคประชาธิปัตย์หลายคนก็ออกมารับรองว่าคำประกาศของนายอภิสิทธิ์นั้น เป็นการประกาศในนามของพรรค ไม่ใช่ความเห็นส่วนตัว
แต่มาวันนี้ เมื่อเลือกตั้งเสร็จ และมีแนวโน้มว่าพรรคพลังประชารัฐที่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ พรรคประชาธิปัตย์กลับไม่ยืนหยัดในสิ่งที่ตนเคยประกาศ ไม่ทำตามสัญญาประชาคมที่ตนเคยให้ไว้กับผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งที่เลือกตนเข้ามา การเปลี่ยนท่าทีว่า ต้องรอมติของที่ประชุมร่วมระหว่างกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่กับ สส. ที่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามา ไม่เท่ากับพรรคนี้กำลังตระบัดสัตย์ ไม่เท่ากับพรรคนี้ไม่มีจุดยืนล่ะหรือ ? พรรคประชาธิปัตย์จะอธิบายต่อคนที่เลือกตนเข้ามาอย่างไร และจะอธิบายต่อคนที่ไม่เลือกตนอย่างไร ให้เขาเข้าใจว่าตนไม่ใช่พรรคที่ไร้จุดยืน ไม่ใช่พรรคที่พร้อมจะกลืนน้ำลายตัวเอง ลื่นไหลไปตามกระแสสังคมที่บีบคั้นเข้ามา ?
ทางออกที่ถูกที่ควรของพรรคประชาธิปัตย์ หากจะอ้างว่า เพื่อให้ระบอบประชาธิปไตยเดินต่อไปได้เลย จำเป็นต้องกลืนเลือดเข้าร่วมรัฐบาล มีเพียงทางเดียวคือ ขอฉันทานุมัติจากสมาชิกพรรคที่กระจายกันอยู่ทั่วประเทศ ไม่ใช่ขอมติจากกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่กับ สส. ที่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามา เพราะพรรคการเมืองไม่ใช่สมบัติของกรรมการบริหารกับ สส. เท่านั้น แต่เป็นของสมาชิกพรรคทุกคน โดยเฉพาะในเรื่องสำคัญเช่นนี้ ในเรื่องที่เคยให้สัญญาไว้กับประชาชนเช่นนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้สมาชิกทั่วทั้งพรรคร่วมกันตัดสินใจ
วันนี้ พรรคประชาธิปัตย์ จำเป็นต้องเลือกว่าจะรักษาระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง ด้วยการทำตัวอย่างให้เห็นว่าเป็นพรรคการเมืองที่มีจุดยืนทางประชาธิปไตยอันมั่นคง และรักษาคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับประชาคมประชาธิปไตยของตน โดยพร้อมจะเป็นฝ่ายค้านที่ไม่อยู่ใต้อาณัติของกลุ่มการเมืองใด หรือจะรักษาระบอบประชาธิปไตยที่ไม่ค่อยเป็นประชาธิปไตยในทุกวันนี้ ด้วยการเข้าร่วมเป็นฝ่ายรัฐบาลเพื่อให้การเมืองเดินหน้าต่อไป แม้จะมีการสืบทอดอำนาจที่ตนเคยประกาศว่าขัดกับอุดมการณ์ของพรรคตน
ณรงค์ฤทธิ์ ศรีรัตโนภาส
สำนักที่ปรึกษาร้อยชักสาม
14 พฤษภาคม 2562
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี