“พลเมือง” ที่แปลว่ากำลังของเมือง จะไม่มีวันมีกำลังสร้างสรรค์ประเทศได้ ถ้ายังแบ่งฝ่ายต่อสู้กันเพื่อนักการเมือง และลัทธิอุดมการณ์ทางการเมืองที่ตนยึดมั่นถือมั่น
ลัทธิอุดมการณ์...ไม่ว่าจะเป็น “อนุรักษนิยม” “เสรีนิยม” หรือ “สังคมนิยม (คอมมิวนิสต์)” ไม่มีอะไรแตกต่างกันเลยในด้าน “สาระ” เพราะเป็นเรื่องเศรษฐกิจการเมืองที่เป็น “ทุนนิยม” เหมือนกัน
แตกต่างกันก็เพียงแค่วิธีการบริหาร – จัดการ
และมีกษัตริย์หรือไม่มี
อนุรักษนิยมและเสรีนิยมเป็น “ทุนนิยมเอกชน”
สังคมนิยม (คอมมิวนิสต์) เป็น “ทุนนิยมโดยรัฐ”
อนุรักษนิยมและเสรีนิยม หรือ “ทุนนิยมเอกชน” นั้นเรารู้เห็นกันดี เพราะเรามีชีวิตอยู่ในระบบนี้มาเนิ่นนานแล้ว
ส่วน สังคมนิยม (คอมมิวนิสต์) หรือทุนนิยมโดยรัฐ นั้น ...รัฐเข้าควบคุมอำนาจบริหาร – จัดการทุกสิ่งทุกอย่างในนามของสังคม รัฐจึงเป็นศูนย์กลางอำนาจ ก่อให้เกิด “ระบบราชการ” ที่ใหญ่โตเทอะทะ เชื่องช้า ไร้ประสิทธิภาพ เล่นพวกพ้อง แถมคอรัปชั่นเพียบ ดังที่ได้เห็นมาแล้วทั่วโลก
คำตอบที่เกิดขึ้นจริงในศตวรรษที่แล้วก็คือ ลัทธินี้ก็ไปไม่รอด ที่เคยเข่นฆ่าทำลายล้างกันมานับร้อยล้านคนก็สูญเปล่า
(บางคนอาจภูมิใจที่ได้เข่นฆ่าทำลายล้างคนอื่นเพื่อของอุดมการณ์ หรือตัวเองตายเพื่ออุดมการณ์ แต่โดยภาพรวมมันเป็น “ศตวรรษที่ทุพลภาพ” ในพัฒนาศักยภาพของมนุษย์)
เมื่อกาลเวลาล่วงผ่านมมาจนปัจจุบันนี้ ผมจึงเห็นว่าการแบ่งฝ่ายต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย อย่างที่เคยเกิดขึ้นในศตวรรษที่แล้วนั้นก็เป็นเรื่องที่ทุพลภาพเช่นกัน
แย่กว่านั้น นักการเมืองที่ “ถือธงลัทธิอุดมการณ์” ทั้ง 2 ฝ่าย คือฝ่ายที่ต้องการกษัตริย์กับไม่ต้องการกษัตริย์นั้นก็ไม่เคย “ต่อสู้กันถึงตาย” อย่างบรรดาพลเมืองที่ลงต่อสู่บนท้องถนนเพื่อพวกเขา
ซ้ำพวกเขายัง “หลีกทาง – เปิดโอกาส” ไม่เคย “เอาจริง” หรือจับให้มั่นคั้นให้ตายกับฝ่ายตรงข้ามเสมอมา
อภิปรายกันในสภาก็ทำเป็นขึงขัง ชนิดผีไม่เผาเงาไม่เหยียบเพื่อเอาชนะและตนจะได้ครองอำนาจแทน แต่พลเมืองที่มีความเห็นต่างกันนั้นผีไม่เผาเงาไม่เหยียบ และเข่นฆ่ากันจริง!
มันจึงเป็น “เกม” เพื่อชิงอำนาจกันเหมือนเกมกีฬาเท่านั้น ส่วนกองเชียร์ – ลิ่วล้อกลับโคตร “อิน” เลย
พวกเขาโจมตี ข่มขู่กัน แสดงความอาฆาตแค้นกันก็เพื่อโชว์กองเชียร์ฝ่ายตนว่า “กูเอาจริงนะโว้ย พวกมึงจงสู้ต่อไป” แต่กลับ “เปิดช่องทางธรรมชาติ” ให้ฝ่ายตรงข้ามหนี และ “โรงพยาบาล” ไว้รอรับคนติดคุกไว้ตลอดเวลา
คนกระทำผิดกฎหมายที่อยู่ฝ่ายตรงข้าม ก็พร้อมจะทำให้ถูกหรือหลุดจากคดีได้อย่างหน้าด้านๆ ถ้าคนทำผิดกฎหมายนั้นสามารถรับใช้พวกตนได้
ยิ่งในหมู่พ้องของตนด้วยแล้ว แม้กระทำผิดอย่างไรก็รอดจากการตรวจสอบ แถมยังแต่งตั้งให้ลอยหน้าลอยตามาทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน
ตนทำผิดก็พยายามออกกฎหมายล้างผิด
ตอนนี้มีสภาแล้ว...เราคอยดูพวกเขาอภิปรายกันต่อไปว่าทั้ง 2 ฝ่ายจะเอาจริงกันแค่ไหน
ฝ่ายค้านจะกล้าชนสุดตัวกับฝ่ายรัฐบาลไหม กล้าแฉการทุจริตคอรัปชั่นคนที่เคยอยู่ในฝ่ายตนไหม?
กล้าขุดคุ้ยการทุจริตคอรัปชั่น เล่นพวกพ้องในรัฐบาล คสช.จริงจังแค่ไหน?
สิ่งที่ผมรู้เห็นมาตลอด 30 ปีที่สนใจการเมืองก็คือ นักการเมืองทุกฝ่ายล้วนทำเพื่ออำนาจและผลประโยชน์ของตนเป็นหลัก อำนาจและผลประโยชน์ของประชาชนเป็นรอง
พวกเขาเห็นว่า "อำนาจและผลประโยชน์" จากการเมืองคือ "สมบัติผลัดกันชม"
ขณะที่พลเมือง 2 ฝ่ายต่อสู้กัน พวกเขาก็กอบโกยผลประโยชน์ใส่ตัวและพวกพ้องอย่างเมามัน
ดังนั้น...ใครอยากบาดเจ็บล้มตายเพื่อนักการเมือง หรือลัทธิอุดมการณ์อะไรก็ไม่มีใครห้ามใครได้ ส่วนผมขอเป็น "ท่านผู้ชม" แล้วกัน!
วิมล ไทรนิ่มนวล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี