ผมฟังและอ่านเรื่อง “เศรษฐกิจการเมือง” มาตั้งแต่วัยหนุ่ม จนอายุขัยเข้าใกล้เมรุแล้วก็ได้ยิน - ได้อ่านแต่โลกทัศน์เดิมๆ ไม่มีอะไรเปลี่ยน
ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ เพราะคนไทยโดยเฉพาะนักวิชาการก็นำโลกทัศน์นั้นมาจากต่างประเทศอีกทอดหนึ่ง ซึ่งก็หนีไม่พ้นประเทศทางตะวันตก
โลกทัศน์ที่ว่าก็คือ “ทุนนิยมหรือตลาดเสรี” กับ “สังคมนิยมหรือคอมมิวนิสต์”
โลกทัศน์ทั้ง 2 แบบนี้ล้วนเก่าแก่ด้วยกันทั้งคู่ จะเรียกตามสำนวนฮิตในยุคนี้ก็ได้ว่า เป็นโลกทัศน์ของ “ไดโนเสาร์ เต่าล้านปี” ทั้ง 2 โลกทัศน์นี้ถือกำเนิดในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมและต่างเวลากันไม่นานนัก
โลกทัศน์แบบทุนนิยม(ในยุคนั้นหรือเสรีนิยมในยุคนี้) ถือกำเนิดก่อน มีนายทุนผู้เป็นเจ้าของที่ดิน – โรงงาน – เงิน และมีกรรมกรเป็นลูกจ้าง – เป็นผู้ขายแรงงาน นายทุนร่ำรวย แต่กรรมการยากจน คาร์ล มาร์กซ์ได้เห็นนายทุน(ในอังกฤษ)ขูดรีดแรงงาน เอารัดเอาเปรียบกรรมการอย่างไร้มนุษยธรรม คุณภาพชีวิตนั้นแตกต่างกันมาก แกจึงศึกษาค้นคว้าและได้ข้อสรุปออกมาเป็น ลัทธิคอมมิวนิสต์ หรือ “ลัทธิมาร์กซ์”
ประเด็นหลักก็คือ กรรมกร(ชนชั้นแรงงาน)ต้องเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต (ที่ดิน – โรงงาน – เงิน) ไม่ใช่นายทุน และวิธีการต่อสู้ให้ได้มานั้นก็ต้องโค่นล้ม – กำจัดพวกชนชั้นนายทุน
ลัทธิคอมมิวนิสต์จึงเป็นปรปักษ์กับลัทธิทุนนิยม และต่อสู้กันเรื่อยมาจนบัดนี้
ทั้ง 2 ลัทธินี้เป็นโลกทัศน์ 2 แบบหลักที่ครอบงำความคิดของคนทั้งโลก ทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัว
ในปัจจุบัน...โลกทัศน์แบบทุนนิยมนั้นมองแต่เรื่องการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เรียกว่า “จีดีพี.” ส่วนพวกคอมมิวนิสต์ก็มองแต่เรื่อง “ชนชั้น” และต้องกำจัดชนชั้นนายทุนออกไป
จักรวาลนี้ – โลกนี้จึงมีแค่ 2 โลกทัศน์สำหรับมนุษย์เท่านั้น
ทั้งที่คณิตศาสตร์บอกว่ามีมุมมองถึง 360 องศา
นักควอนตั้มฟิสิกส์บอกว่า จักรวาลมีถึง 11 มิติ
ดวงตะวันบอกว่า “จงดูแสงที่ข้าเปล่งออกมา นั่นเท่ากับมุมมองทั้งหมด”
ส่วน “นิเวศปรมัตถ์” บอกว่า สายตาและมุมมองของมนุษย์นั้นคับแคบ ตื้น และผิวเผินมาก เพราะโลกธรรมชาติที่แท้จริงนั้นไม่ได้เป็นเส้นตรง หากแต่เป็นข่ายใยที่สลับซับซ้อนและเชื่อมโยงกัน...อย่างเดียวกับเครื่องทรงของพระอินทร์ที่เม็ดอัญมณีสะท้อนแสงกลับไปกลับมาอยู่ในกันและกัน...อย่างไร้ที่สิ้นสุด
ลองนึกถึงชุดลิเกหรือชุดโขนของตัวพระก็ได้
แต่กลับน่ามหัศจรรย์ที่มนุษย์เชื่อว่ามีโลกทัศน์อยู่แค่ 2 แบบเท่านั้น
เมื่อมนุษย์มีโลกทัศน์แค่ 2 แบบ มนุษย์ก็ถูกจำกัดการรับรู้อันโอฬารของชีวิตและจักรวาล รวมทั้งสังคมของตนด้วย และมันส่งผลให้มนุษย์เข้าไม่ถึงความจริงแท้หรือปรมัตถสัจจะ
เมื่อเข้าไม่ถึงปรมัตถสัจจะและมีโลกทัศน์อยู่เพียง 2 แบบ เราจึงมีความคิดเห็นแตกต่างกัน ต่างก็เชื่อว่าโลกทัศน์ของตนถูกต้อง เป็นสิ่งจริงแท้ สามารถแก้ปัญหาของมนุษย์ได้จริง แล้วเราก็ทะเลาะกัน - ทำลายล้างกัน เพื่อยืนยันว่าโลกทัศน์ของตนถูกต้อง!
เราไม่สามารถแก้ปัญหาด้วยวิธีอื่นๆ นอกจากการทำลายล้างกันอย่างที่เป็นมา
แม้มนุษย์จะสังเวยชีวิตตนให้แก่โลกทัศน์ 2 แบบนี้มานับพันล้านคนแล้ว เราก็ยังไม่ตระหนัก ไม่เคยสำนึก แม้กระทั่งฉุกคิดหรือตั้งคำถาม
วันนี้เราจึงทำลายล้างกันต่อไป
ไม่ใช่เฉพาะในประเทศไทย แต่ทั่วทั้งโลก
คำถามก็คือ มีใครจะสร้างโลกทัศน์ใหม่ๆนำมาเสนอแก่มนุษยชาติหรือไม่?
เพื่อจะได้หลุดพ้นไปจากโลกทัศน์ 2 แบบนี้เสียที.
วิมล ไทรนิ่มนวล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี