รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มีพรรคร่วมรัฐบาลค่อนข้างมาก แต่มีคะแนนเสียงปริ่มๆน้ำ กำหนดแถลงนโยบาย ตามมาตรา 162 ของรัฐธรรมนูญ แล้วครับ เป็นวันที่ 25 - 26 กรกฎาคม ท่ามกลางความตื่นเต้นระทึกใจทั้งฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้าน
ทั้งที่การแถลงนโยบายตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ (2560) ไม่ต้องมีการลงมติ
แถลงนโยบายแล้วให้ฝ่ายค้านซักโน่นซักนี่ตามที่เขียนแถลงไว้ ฝ่ายรัฐบาลอาจจะเป็นนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ลุกขึ้นชี้แจงข้อสงสัย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฝ่ายรัฐบาลลุกขึ้นมาสนับสนุน สลับกับวุฒิสภาบางส่วนลุกขึ้นมาชมว่านโยบายเขียนได้ประเสริฐ
อาจมีบ้างลุกขึ้นมาขัดจังหวะฝ่ายค้าน หากฝ่ายค้านอภิปรายในเรื่องส่วนตัว หรือกระทบรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีเอามากๆ
แล้วทุกอย่างก็จะเป็นไปตามกำหนดคือ 2 วัน รวมแล้ว 30 ชั่วโมง แล้วทุกอย่างก็จบลง
ความรู้สึกที่ค่อนข้างจะตื่นเต้นระทึกใจนั้นน่าจะอยู่ที่ บรรยากาศการประชุมรัฐสภาเช่นนี้ว่างเว้นมา 5 ปีแล้ว สภาไม่เคยประชุมในรูปแบบนี้ 5 ปีของสภานิติบัญญัตินั้นเหมือนการประชุมข้าราชการ เหมือนการประชุมสภาความมั่นคง อะไรทำนองนั้น คือถ้อยทีถ้อยอาศัย คอยฟังว่าผู้บังคับบัญชา ซึ่งก็คือ คสช. รัฐบาล หรือ นายกรัฐมนตรี จะเอาอย่างไร
ประธานในที่ประชุมก็ช่วยทำให้เป็นไปอย่างนั้น
บัดนี้ในรัฐสภา สมาชิกมาจากการเลือกตั้ง ส่วนที่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี มีเสียงมากกว่าฝ่ายค้านที่จ้องเล่นงานพลเอกประยุทธ์หน่อยเดียวเอง
วุฒิสภา 250 คนที่รัฐธรรมนูญเขียนไว้ให้ฝ่ายพลเอกประยุทธ์ตั้งมาสนับสนุนตัวเองจะกระดี๋กระด๋ามากไป ก็ดูน่าเกลียด
ตรงนี้แหละครับที่ทำให้การแถลงนโยบายดูตื่นเต้น
ประกอบกับ ฝ่ายที่จะถูกอภิปราย หนักๆ แรงๆ อย่างแน่นอนคือ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีที่สละคราบของหัวหน้า คสช. ไปเรียบร้อยแล้ว และมาในรูปแบบใหม่ เป็นรูปแบบของประชาธิปไตย
จะต้องทนต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์
เป็นเสียงจากคนที่สูญเสียอำนาจ เพราะพลเอกประยุทธ์ ไปทำรัฐประหารมา
เป็นเสียงจากคนที่พลเอกประยุทธ์เคยสบประมาทเขาเอาไว้ในฐานะ นักการเมืองที่เฮงซวย (แม้จะเป็นการพูดรวมๆ ไม่เจาะจงไปที่นักการเมืองคนใดคนหนึ่งก็เถอะ)
คราวนี้ถึงเวลาที่พวกเขาจะเอาคืน !
ไม่น่ากังวลหรอกครับ ถ้ายอมรับการวิพากษ์วิจารณ์ได้ เพราะการอภิปรายของสมาชิกรัฐสภานั้นมีข้อบังคับการประชุมไว้อยู่แล้ว มีประธานรัฐสภา คือนายชวน หลีกภัย ที่แม่นกฎ ระเบียบ แถมยังเข้าใจจิตวิญญานของการเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซ้ำยังผ่านการเป็นนายกรัฐมนตรีที่เคยถูกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอภิปรายมาแล้ว เป็นผู้คุมเกมการประชุม
ยิ่งไม่น่าห่วง
ที่น่าห่วงที่สุดก็คือ หลังจากแถลงนโยบายต่อรัฐสภาแล้วจะต้องบริหารราชการแผ่นดิน เป็นการบริหารที่แตกต่างจากรัฐบาลประยุทธ์ 1 อย่างสิ้นเชิง
คราวนี้แหละจะได้เห็นว่า เสียงปริ่มน้ำ ลำบากแค่ไหน
ความจริงคงจะเห็นแล้วตั้งแต่คัดสรรคณะรัฐมนตรีเข้ามาบริหารประเทศ คงจะเริ่มซาบซึ้งตรึงใจกับ นักการเมือง คงจะเริ่มเข้าใจแล้วละว่า คำว่า ไม่ขอรับตำแหน่ง คือจะต้องได้ตำแหน่ง ถ้าไม่ได้ผมจะพาพวก 20 หรือ 30 คนออกไป คงจะเห็นแล้วละว่า ผมไม่คิดและไม่หวังจะเอาตำแหน่ง นั่นหมายความว่า ช่วยพิจารณาตัวผมให้ดีๆ ว่า ผมมีกี่เสียงอยู่ในมือ
ถ้าไม่ให้ผม ก็ต้องให้โควต้าผม เพราะผมยังมีพี่ มีน้อง มีพ่อตา แม่ยาย ที่จะเป็นรัฐมนตรีได้
สิ่งเหล่านี้ พลเอก ประยุทธ์ นายทหารที่สัญญาว่าจะคืนความสุขให้กับประชาชนเมื่อ 5 ปีที่แล้ว วันนี้ตระหนักรู้แล้ว
หนทางข้างหน้าของรัฐบาลยิ่งจะต้องพานพบ
เชื่อเถอะ มันจะเป็นประสบการณ์ค่อนข้างเลวร้าย !
สำเริง คำพะอุ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี