ฤๅจะลืมตราชูไปเสียแล้ว ?
เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะครบปีแล้วครับ มีรัฐบาลบริหารประเทศก็จะครบปีแล้วเหมือนกัน บังเอิญว่าเป็นนายกรัฐมนตรีคนเดิม คือ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา (คนที่เคยบอกว่าไม่อยากเป็น จำต้องเป็นเพื่อชาติ เพื่อบ้าน เพื่อเมือง) จึงมีความรู้สึกเหมือนว่า อยู่มานาน แต่จนป่านนี้ คณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) ก็ยังไม่เคยเฉลยวิธีคิด วิธีคำนวณตัวเลขว่า ส.ส. บัญชีรายชื่อในแต่ละพรรคนั้นได้มาอย่างไร
มีพรรคการเมืองหลายพรรคเดินเข้าไปถาม ทำหนังสือให้ กกต. ชี้แจง ท่านก็ไม่เคยอธิบายให้กระจ่าง รู้แต่เพียงว่า ท่านพยายามอย่างยิ่ง ไม่ให้เสียงประชาชนที่ไปหย่อนบัตรลงคะแนนสูญเปล่า หรือที่บอกว่า ไม่ให้ตกน้ำ
นี่ถ้ารู้ว่ากกต. ท่านคิดอย่างนี้พรรคการเมืองอาจจะเกิดขึ้นมาเป็นสิบเป็นร้อย ส่งสมัครรับเลือกตั้ง ได้คะแนนทั่วประเทศพรรคละหมื่นสองหมื่นเสียง ท่านก็คงจะปัดขึ้นมาให้ได้ ส.ส. ตามเจตนารมย์ที่ว่า ทุกเสียงมีค่า ไม่ให้ตกน้ำ
ผมไม่รู้ว่าเจตนารมย์ของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่ใช้อยู่ขณะนี้คิดอย่างที่ กกต. คิดหรือไม่ แต่ที่แน่นอนก็จะต้องเป็นอย่างที่ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ซึ่งเป็นประธานยกร่างคนแรก แล้วรัฐธรรมนูญฉบับนั้นไม่ผ่าน ด้วยเหตุผลที่ว่า “เขาอยากจะเป็นต่อ “
จึงได้มีรัฐธรรมนูญฉบับที่มีนายมีชัย ฤชุพันธ์ เป็นประธานยกร่างขึ้นมา
ซึ่งไม่ใช่เรื่องประหลาด ในประวัติศาสตร์นักกฎหมายเก่งๆสำคัญๆของชาติบ้านเมืองท่านได้ทำเป็นตัวอย่างให้เห็นมาแล้ว ไม่ว่าขุนทหารท่านใดจะยึดอำนาจท่านก็ต้องพึ่งพาเนติบริกรอยู่แล้ว
นักกฎหมายเก่งๆประดามีในแต่ละยุคไม่ว่าจะเป็นตอนที่จอมพลผิน จอมพล ป. จอมพลสฤษดิ์ จอมพลถนอม พลเรือเอกสงัด ฯลฯ เรื่อยมาจนกระทั่งถึงพลเอกประยุทธ์ ต่างก็ต้องใช้บริการของเนติบริกรทั้งนั้น
มาตรา 17 ของคณะปฏิวัติ มาตรา 42 ของคณะปฏิวัติ มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญ ล้วนแล้วแต่เกิดจากมันสมองอันฉลาดปราดเปรื่องของนักกฎหมายระดับบรมครูที่สมัครใจมาทำหน้าที่ เนติบริกรทั้งสิ้น
ขอให้สั่งเถอะ จะเอายังไงเขียนเป็นภาษากฎหมายให้ได้หมด !
ท่านทั้งหลายที่เขียนรัฐธรรมนูญให้จอมพลผิน จอมพล ป. จอมพลสฤษดิ์ นั้น ถาม นายอย่างเดียวว่าจะเอายังไง เหมือนพ่อครัว แม่ครัวถามคนกินว่า กินเปรี้ยว หวาน มัน เค็มหรือเผ็ด ปรุงให้ได้หมด
ลืมสัญลักษณ์ตราชู
ลืมผลประโยชน์ของประชาชนไปเสียสิ้น !
เรามักจะพูดกันอยู่เสมอว่า เราออกจากวังวนของการเมืองที่ ยึดอำนาจ (ปฏิวัติ รัฐประหาร) ร่างรัฐธรรมนูญ เลือกตั้ง แล้วก็กลับมายึดอำนาจ ร่างรัฐธรรมนูญ แล้วเลือกตั้ง สักพักก็จะวนไปสู่การปฏิวัติรัฐประหาร
ที่วนอยู่อย่างนี้เพราะแต่ละกลุ่ม แต่ละฝ่ายล้วนแล้วแต่นึกถึงผลประโยชน์ตัวเอง เป็นต้นว่า ยึดอำนาจได้แล้ว มีอำนาจแล้ว แต่อยู่นานไปก็ไม่ได้ เพราะสังคมโลกเขาเป็นประชาธิปไตย ต้องให้สิทธิประชาชนไปเลือกตั้ง ก็เกิดคำถามว่าเลือกตั้งอย่างไรจึงจะมีอำนาจต่อ
ฝ่ายประชาชน เมื่อได้อำนาจมาก็เหิมเกริม รีบตักตวง รีบแสวงหาอำนาจ หาความร่ำรวย รีบสร้างความมั่นคงมั่งคั่ง ตระกละตระกราม แต่งตั้งโยกย้ายญาติพี่น้อง พรรคพวก หรือหาบริษัทบริวาร ตัวอย่างเห็นๆเมื่อทศวรรษที่ผ่านมา ก็สำนักงานตำรวจแห่งชาติหนึ่ง สำนักงานอัยการหนึ่ง กรมสรรพากรอีกหนึ่ง
กำลังจะลามไปหน่วยราชการอื่นๆ ก็เปลี่ยนอำนาจด้วยการปฏิวัติรัฐประหารไปเสียก่อน
เราจะเห็นว่า ทศวรรษที่ผ่านมา มีการยึดอำนาจ ร่างรัฐธรรมนูญ เลือกตั้ง แต่ละช่วง จะมีเสียงเรียกร้องหรือ นักการเมืองจะแสดงเจตนารมณ์ หรือประกาศเป็นนโยบายเลยคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
เป็นรัฐธรรมนูญที่ เนติบริกรระดับปรมาจารย์ทิ้งมรดกเอาไว้ทั้งสิ้น
เชื่อเถอะครับมันจะวนเวียนอยู่อย่างนี้ ตราบที่นักกฎหมายที่ไปทำหน้าที่ลืมจิตวิญญาณ ลืมตราชู ลืมสัญลักษณ์แห่งธรรม
ที่สำคัญคือ ลืมผลประโยชน์ของประชาชน
สำเริง คำพะอุ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี