ตอนนี้อเมริกากำลังจับตาศึกการเลือกตั้งอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะการเฟ้นหาตัวแทนพรรคเดโมแครตขณะที่สถานการณ์อันน่าหวาดหวั่นของไวรัสโคโรน่าก็ย่างกรายเข้ามาเงียบๆ ตอนแรกคนอเมริกันส่วนใหญ่ไม่ค่อยกังวลเกี่ยวกับโควิด 19
เดือนมกราคมมีรายงานว่าพบผู้ป่วยโควิด 19 รายแรกที่รัฐวอชิงตันสเตท ซึ่งอยู่ฝั่งตะวันตกเหนือสุด เป็นชายวัยสามสิบกว่าที่เพิ่งกลับมาจากจีน มวลมหาอเมริกันเหลือบตามองนิดหน่อย เพราะคิดว่าไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง ไม่กี่วันต่อมา มีการรายงานว่า หญิงจีนกลับจากเมืองจีนติดเชื้อที่ชิคาโก้ อเมริกันก็ยักไหล่ เพราะคิดว่าไกลตัว แต่เคสนี้น่าสนใจคือ สามีของเธอที่ไม่ได้มาจากจีนติดเชื้อไปด้วย เลยกลายเป็น 2 เคสในชิคาโก้
หลังจากนั้นมีการรายงานว่าพบคนป่วยที่รัฐนั้นรัฐนี้ ในช่วงแรกเจอคนป่วยกระจุกตัวในรัฐแคลิฟอร์เนีย นอกนั้นก็มีแอริโซน่า เท็กซัส วิสคอนซิน เนบราสก้า และบอสตัน แต่ละเคสสามารถสืบสาวต้นตอที่มาการติดเชื้อได้ว่าติดมาจากไหน อเมริกันส่วนมากยังทำหน้าเฉยๆ เพราะคิดว่าตัวเองไม่ได้เดินทางไหนคงไม่เป็นไรมั้ง
จากนั้นอีกไม่นาน มีการขนพวกอเมริกันที่ติดในอู่ฮั่นและพวกที่อยู่ในเรือสำราญไดมอนด์ปรินเซสมากักตัวในฐานทัพสหรัฐในเท็กซัสและแคลิฟอร์เนีย เจ้าหน้าที่สาธารณสุขออกมายืนยันให้ความเชื่อมั่นว่า “อย่ากลัว” ซึ่งอเมริกันส่วนมากก็เชื่อโดยดี ส่วนการใส่หน้ากากอนามัยนั้นไม่ต้องพูดถึง เพราะที่นี่มีความเชื่อฝังหัวว่า ใครใส่หน้ากากคนนั้นคือคนป่วย จึงไม่มีใครใส่หน้ากากกันเลย ทั้งที่ไอจามรดกันสนั่นหวั่นไหว เพราะช่วงนี้เป็นช่วงไข้หวัดระบาด
ตัวเลขของผู้ป่วยชิลล์ๆ อยู่ที่ 40 คนมายาวนาน ส่วนพวกที่เป็นก็หายจากโรคไปแล้ว 7 คน เลยทำให้ทุกคนสบายๆ ในขณะที่ทั่วโลกหวาดวิตกอกสั่นกันทั้งนั้น เพราะนอกจากจีนแล้ว ยังแพร่ลามไปเกาหลีใต้ อิหร่าน อิตาลี
พอเจาะอิตาลีได้ทีนี้แพร่ลามไปทั่วยุโรป ทั้งที่ตอนแรกไทยเรามีจำนวนคนป่วยเป็นอันดับสอง รองจากจีน แต่ตอนนี้ ประเทศต่างๆ แซงพุ่งไปแบบฝุ่นตลบ ติดเชื้อกันทุกวัน ตายกันเป็นว่าเล่น ทั้งเยอรมัน ฝรั่งเศส สเปน และสวิสเซอร์แลนด์ ทิ้งไทยรั้งอันดับ 14 ซึ่งก็ดีแล้ว เกมนี้ไม่น่าเป็นที่หนึ่งเท่าไหร่หรอก
ในขณะที่ชาวโลกอกจะแตก มะริกันดูเรื่อยๆ มาเรียงๆ จนกระทั่งอาทิตย์นี้เอง นายกเทศมนตรีซานฟรานซิสโกประกาศตูมให้ซานฟรานซิสโกเป็นเขตภัยพิบัติภาวะฉุกเฉิน จากนั้นก็ดาหน้าออกมาแถลงว่า พบคนป่วยโควิด 19 เพิ่มขึ้นแถบเบย์เอเรีย โดยไม่มีต้นสายปลายเหตุ คือติดเชื้อมายังไงก็ไม่รู้ แถมไม่เคยเดินทางไปไหนในรอบสามเดือนที่ผ่านมา
รัฐแคลิฟอร์เนียสั่งการจับตาคนร่วม 8,400 คนหลังพบชาวอเมริกัน 1 รายติดเชื้อแบบเป็นปริศนาไม่มีประวัติเคยเดินทางไปต่างประเทศ แต่อาศัยอยู่ในพื้นที่ตั้งฐานทัพอากาศสหรัฐฯ ทราวิส (Travis Air Force Base) ในซาคราเมนโตที่ใช้เป็นที่รักษาตัวผู้ป่วยติดเชื้อซึ่งเดินทางกลับมาจากจีนหรือจากเรือสำราญ
เท่านั้นแหละพ่อแม่พี่น้อง คนอเมริกันในแคลิฟอร์เนียแตกตื่น แห่ไปซื้อของกินของใช้ที่จำเป็นในห้างคอสโก้ ซึ่งเป็นห้างลักษณะเดียวกับโลตัสบ้านเรา ที่ขายล็อตใหญ่ๆ เก็บไว้แบบกะกินได้สามเดือน ขณะที่คนฝั่งตะวันตกแตกตื่นตูมตาม ก็มีข่าวตามออกมาว่า มีผู้เสียชีวิตจากโควิด 19 รายแรกในรัฐวอชิงตันสเตท ซึ่งรัฐนั้นก็ประกาศภาวะฉุกเฉินทันที เพียงแค่สามวันหลังจากผู้ป่วยคนแรกเสียชีวิต ยอดคนตายก็พุ่งไป 9 คนในช่วง 2-3 วัน และอยู่ในรัฐวอชิงตันสเตททั้งหมด ซึ่งรัฐนี้เป็นรัฐที่เจอคนป่วยรายแรกในอเมริกาแค่หนึ่งคน จากนั้นก็รักษาหายแล้ว จึงไม่มีใครคิดว่าสถานการณ์ในรัฐนี้จะเลวร้ายจนต้องประกาศภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์
การประกาศภาวะฉุกเฉินและการมีผู้เสียชีวิต ยิ่งทำให้คนตื่นตระหนกตกใจ จะไปหาซื้อหน้ากากอนามัยก็ไม่มีขายแล้ว บอกเลยว่าไม่มีขายมาตั้งแต่มกราคมเลยนั่นแหละ เพราะคนเอเซียในอเมริกากว้านซื้อส่งกลับไปให้ญาติพี่น้องตน
จากยอดที่นิ่งๆ จาก 40 ราย พุ่งพรวดมาเป็น 108 รายภายในไม่กี่วัน ที่น่ากลัวคือ มีผู้ป่วยโควิด 19 ที่ไม่รู้ว่าติดเชื้อจากไหนมากขึ้น เท่ากับว่าอเมริกาน่าจะเข้าสู่ระยะสามคือเกิดการติดต่อในชุมชนกันเอง เลยออกคำสั่งห้ามไปจีน และยกระดับห้ามเดินทางไปเกาหลีใต้ อิหร่าน และอิตาลีอีกด้วย
ที่น่าโมโหสุดๆ คือ ขนาดมีคนตายโดยติดเชื้อแบบไม่ทราบสาเหตุ เพราะไม่เคยเดินทางไปไหนเลย แถมติดเชื้อและตายในบ้านพักคนชรา ซึ่งทำให้มีคนแก่ในนั้นติดเชื้ออีก 50 คนทรัมป์ยังออกมาลอยหน้าบอกชาวบ้านว่า ไม่ต้องตกใจ เราไม่ได้อยู่ในภาวะเสี่ยง บอกเลยว่าภาวะผู้นำของตาลุงผมเป๋ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน น้อยกว่านายกเทศมนตรีหญิงซานฟรานซิสโกเสียอีก ที่ประกาศภาวะฉุกเฉิน แล้วนำเจ้าหน้าที่การแพทย์มาแถลงอย่างจริงจังว่าจะรับมืออย่างไร และประชาชนควรทำอย่างไร
แม้ทรัมป์จะคุยโม้โอ้อวดว่าไม่ต้องกลัวไวรัส แต่พ.ญ.แนนซี เมสซันเนียร์ ผุ้อำนวยการศูนย์ของศูนย์โรคระบบทางเดินหายใจ ในศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (ซีดีซี) ของสหรัฐฯ เห็นต่าง ระหว่างการแถลงข่าวในกรุงวอชิงตันโดยกล่าวว่า
“มาถึงเวลานี้คำถามไม่ใช่ว่า การระบาดของไวรัสโคโรนาจะเกิดขึ้นในสหรัฐฯหรือไม่อีกต่อไปแล้ว แต่ต้องถามว่า การระบาดจะเกิดขึ้นเมื่อใดและรุนแรงแค่ไหน”
ล่าสุดมีการประกาศภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ในฟลอริด้า หลังจากพบผู้ป่วย 2 คน ตอนนี้หลายรัฐมีผุ้ป่วยเพิ่มขึ้น รัฐที่คนป่วยคือ วอชิงตันสเตท ซึ่งหนักสุด โอเรกอน แคลิฟอร์เนีย ซึ่งก็อาการหนักไม่แพ้วอชิงตันสเตท เพราะเจอผุ้ติดเชื้อมากที่สุด แอริโซน่า เท็กซัส วิสคอนซิน อิลลินอยส์ ซึ่งพบมากขึ้นจาก 2 เป็น 4 ราย จอร์เจีย ฟลอริด้า นิวยอร์ก นิวแฮมเชียร์ แมสซาชูเซสส์ และโร้ดไอแลนด์
ยอดตาย 9 คนในรัฐวอชิงตัน ประมาณ 48 คนติดเชื้อจากอู่ฮั่นและเรือไดมอนด์ปรินเซส อย่างน้อย 22 คนติดจากประเทศอื่น 11 คนติดกันเองในชุมชน ส่วนอีก 27 คนติดแบบไม่รู้ที่มา นั่นอาจหมายถึงเกิดการระบาดขึ้นแล้ว
หากเกิดการระบาดในอเมริกา นั่นถือเป็นเรื่องน่ากลัวมาก เพราะคนส่วนมากไม่มีประกัน และไม่มีเงินค่ารักษาพยาบาล ที่นี่ไม่ได้รักษาให้ฟรีๆ แต่ต้องจ่ายแพงมากถึงมากที่สุด แพงอย่างน่าขนลุก นอกจากนี้ยังมีพวกโรบินฮู้ดที่ไม่กล้าบอกนายจ้างว่าป่วย และถึงป่วยก็จะมาทำงาเพื่อหาเงิน ก็จะยิ่งแพร่เชื้อกระจายไปทั่ว
จำนวนของคนอเมริกันที่ไม่มีประกันสุขภาพเคยเริ่มลดต่ำลงมาจากช่วงขึ้นไปสูงสุดที่ 46.7 ล้านคนเมื่อปี 2010 ภายหลังมีการออกกฎหมาย “รัฐบัญญัติการดูแลสุขภาพที่สามารถแบกรับไหว” หรือที่นิยมเรียกกันว่า “โอบามาแคร์” ในยุคประธานาธิบดีบารัค โอบามา
แต่ยุคประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกับแบบทรัมป์แพงมาก ทำให้ไม่สามารถซื้อประกันได้เลย ทรัมป์เกลียด“โอบามาแคร์” เลยพยายามกำจัดออกไป ทำแม้กระทั่งออกกฎว่า คนที่ถือกรีนกร์ดและกำลังจะเป็นพลเมืองอเมริกัน หากยังใช้บริการโอบาม่าแคร์ จะไม่พิจารณาให้รับสถานะ ในฐานะที่เคยใช้บริการประกันโอบาม่าแคร์ การต้องเปลี่ยนมาใช้ประกันแบบทรัมป์นั้นบอกเลยว่าแพงนรกแตก แพงสาหัส แพงสุดติ่ง มั่นใจว่าคนรายได้น้อยหรือปานกลางไม่มีประกันแน่นอน
อเมริกันเป็นพวกย้อนแย้งแปลกๆ เช่น เป็นพวกกลัวเชื้อโรคที่สุด แต่กลับใส่รองเท้าเดินไปมาในบ้านซึ่งปูพรม หรือในท่ามกลางการระบาดของไวรัส ชาวโลกทุกคนป้องกันตัวเองและคนอื่นด้วยใส่หน้ากากอนามัย แต่ทางอเมริกากลับบอกว่า อย่าใส่ คนที่ใส่ออกมาเดินตามถนนจะถูกล้อเลียนอย่างหนัก และถูกมองอย่างหวาดกลัว
จริงๆ แล้ว เราควรป้องกันตัวเองด้วยการใส่หน้ากากอนามัยหรือไม่ ฉันเจอประสบการณ์ตรงเมื่ออาทิตย์ก่อนนี้เอง ในเมื่ออเมริกันส่วนมากไม่ยอมใส่ เลยไม่ใส่เช่นกัน ขณะที่เปิดประตูร้านกำลังจะเดินออกมา หญิงอเมริกันคนหนึ่งเดินผ่านมาจามใส่หน้าดิฉัน จะหลบก็ไม่ทัน เพราะมือยันประตูเปิดออกมา ส่วนอีกมือหิ้วถุง เลยต้องกักกันโรคอีก 14 วัน ไม่ได้มีคำสั่งหมอ แต่คิดว่าหากติดเชื้อตอนนั้น ก็จะต้องดูอาการโดยไม่ออกไปนอกบ้าน จะได้ไม่แพร่เชื้อให้คนอื่น
เลยได้ข้อสรุปว่า แม้จะดูแลตัวเองดีอย่างไร แต่เมื่อเจอความไม่รับผิดชอบหรือคนขาดจิตสำนึกส่วนรวม ก็อาจติดเชื้อได้ หากสามารถหาหน้ากากอนามัยได้ก็ควรใส่
นาทีนี้อเมริกันต่างพากันแตกตื่น แห่ไปห้างซื้อเจลล้างมือ สบู่เหลว และข้าวของอาหารไปตุนไว้ เพื่อกัดตัวเองในบ้าน ไม่จำเป็นจะไม่ออกไปข้างนอกเด็ดขาด บางแห่งไม่เหลือเจลล้างมือแล้ว เพราะคนกว้านซื้อหมด ด้วยความกลัวติดไวรัส เมื่อติดแล้ว ไม่มีเงินไปหาหมอ ความตื่นกลัวนี้กำลังระบาดไปทั่วประเทศไวกว่าไวรัสโคโรน่า
..................................................
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี