อาทิตย์นี้อเมริกากลายเป็นข่าวใหญ่ชนิดที่ว่าทุกคนในโลกหันมามอง พร้อมทำมือเป็นเครื่องหมายศักดิ์สิทธิ์เพราะจำนวนยอดผู้ติดเชื้อสูงลิ่วแซงทุกชาติ แม้กระทั่งจีนที่เคยเป็นอันดับหนึ่งมานาน แซงอิตาลีแบบไม่เห็นฝุ่น ทำราวกับว่ากำลังแข่งกีฬายังไงยังงั้น ทั้งที่บางเรื่องไม่ต้องรีบก็ได้นะ ลุงแซม
ชาวโลกเห็นยอดคนป่วยสะสมและยอดคนป่วยเพิ่มแต่ละวันถึงกับปากอ้าตาค้าง เพราะลุงแซมนั้นนอกจากจะเป็นเจ้าโลกแล้ว ยังเป็นเจ้าโรคแบบยืนหนึ่ง ยอดป่วยสะสมวันที่ 30 มีนาคม จำนวน 159,689 ราย ยอดป่วยเพิ่มแต่ละวันนับหมื่น วันนี้แตะสองหมื่นด้วยซ้ำ ทุกรัฐเพิ่มปริมาณขึ้นอย่างรวดเร็วแบบเบรคแตก ไม่มีอะไรหยุดยั้งการติดเชื้ออย่างบ้าคลั่งของอเมริกาได้
ส่วนยอดเสียชีวิตอยู่ที่ 2,951 ราย แม้ว่าจะน้อยกว่าอิตาลี นั่นเพราะอเมริกาเพิ่งจะเกิดการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว ผู้คนแต่ละรัฐร่วงผล็อยเหมือนใบไม้ร่วง ยอดคนหายดีอยู่ที่ 5,220 ราย ตอนแรกการแพร่ระบาดเริ่มที่รัฐวอชิงตัน แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าศูนย์กลางการระบาดจะย้ายไปนิวยอร์ก
เรียงลำดับ 5 รัฐที่มีผู้ป่วยมากที่สุดเรียงจากมากไปหาน้อยคือ รัฐนิวยอร์ก รัฐนิวเจอร์ซี่ รัฐแคลิฟอร์เนีย รัฐมิชิแกน และรัฐแมสซาจูเซสส์ เห็นยอดผู้ป่วยเพิ่มรายวันแล้ว แทบจะสวดมนต์เรียกหาประคำศักดิ์สิทธิ์หรือน้ำมนต์กันเลย เพราะป่วยเพิ่มกันทีละหมื่นสองหมื่นนั่นแหละ
แม้ว่าขณะนี้ทุกรัฐจะล็อคดาวน์แล้วก็ตาม แต่ดูเหมือนยังไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ในรัฐนิวยอร์ก ผู้คนล้มตายอย่างน่าสยองขวัญ จนไม่มีที่เก็บศพ ต้องใช้รถขนส่งตู้เย็นขนาดใหญ่มาจอดท้ายโรงพยาบาลเพื่อเก็บศพแทน ใครเดินผ่านตู้รถขนาดมหึมาเหล่านี้ที่โรงพยาบาลต่างก็สลดหดหู่ เพราะรู้ว่าข้างในคือศพนับพัน
หมอพยาบาลในนิวยอร์กมีอุปกรณ์ป้องกันไม่เพียงพอ จนต้องใช้ถุงขยะดำๆ มาทำชุดป้องกัน หน้ากากต้องใช้ซ้ำเพราะไม่มี บอกเลยว่าวิกฤติสุดๆ แถมหมอบอกว่ากว่าจะได้ผลตรวจก็ตั้ง 5 วัน ทำไมประเทศอื่นๆ มีชุดตรวจแบบสำเร็จรูป ทำไมอเมริกาไม่มีแบบนี้บ้าง
ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์กบอกว่าต้องการเตียงแสนสี่หมื่นเตียงตอนนี้มีแค่ห้าหมื่นสามพันเตียง และต้องการเตียงไอซียูอีกสี่หมื่นเตียง ซึ่งตอนนี้มีแค่สามพันเตียงเท่านั้นเอง
วันก่อนตาลุงผมเป๋ออกมาแสดงความปากดี ด้วยการเรียกไวรัสโคโรน่าว่าไวรัสจีน คือเจ้าหน้าที่ร่างคำแถลงอุตส่าห์เขียนว่าไวรัสโคโรน่า แต่ด้วยความชังจีนและต้องการโยนขี้ให้พญามังกรกลบกลื่อนโบ้ยความโกรธแค้นที่พลเมืองมีต่อตนเองไปลงที่จีนแทน เลยทำให้ลุงแกโพล่งออกมา เล่นเอานักข่าวที่รอทำข่าวทักท้วงกันลั่นทำเนียบขาว แม้นักข่าวจะทักท้วง แต่ลุงก็ไม่สนใจ ยังเถียงว่า ก็ไอ้ไวรัสนี้มาจากจีน ก็ต้องเรียกว่าไวรัสจีนสิ
เรื่องนี้กลายเป็นหัวข้ออื้อฉาวในโซเชียลมีเดียในอเมริกา สาวกตาทรัมป์ต่างยกเอาคำพูดนี้มาพูดต่ออย่างแพร่หลาย จนมีเคสหนึ่งที่สร้างความฮือฮาทั้งโลก เมื่อหญิงสาวนางหนึ่งชื่อ “จูเลีย” ยกอ้างคำพูดทรัมป์ว่า ทำไมจะเรียก “ไวรัสจีน” ไม่ได้ ก็มาจากจีนนี่นา เลยมีหญิงสาวอีกคนไปตอบว่า “จูเลีย..เธอคลอดออกมาจากช่องคลอดแม่เธอ แต่ทุกคนก็เรียกเธอว่าจูเลียนะ” โอ้โห..นี่ถือเป็นเมนต์ประวัติศาสตร์เลยทีเดียว ประชาชนชาวเน็ตแห่ทวิตกันล้านเจ็ด
เรื่องนี้มีผลกระทบอย่างหนักต่อชาวอเมริกันเชื้อสายเอเซีย ถึงขั้นแห่ไปซื้อปืนเพราะคำพูดสร้างความเกลียดชังแบบนี้กระตุ้นให้เกิดอาชญากรรมแห่งความเกลียดชัง เพราะเกิดขึ้นแล้วในอเมริกา แต่ก่อนก็เกิดขึ้นประปราย แต่พอเกดโรคระบาดโควิด 19 สถานการณ์กลับยิ่งเลวร้ายลง
ที่น่ากลัวกว่าโควิดคืออคติ ครอบครัวอเมริกันเชื้อสายเอเซียครอบครัวหนึ่งในรัฐเท็กซัส พ่อแม่กับลูกอีกสองคนซื้อสินค้าในซุปเปอร์มาเก็ตขายส่งขนาดใหญ่แบบแมคโครบ้านเรา แต่ที่นี่มีแซมส์คลับ ขณะที่กำลังเดินซื้ออาหารอยู่นั้น อยู่ๆมีฝรั่งอเมริกันปรี่เข้ามาแทงกรีดหน้าทั้งลูกสาวลูกชายเป็นแผลเหวอะ จากนั้นก็โวยวายด่าว่าครอบครัวนี้เป็นตัวแพร่เชื้อไวรัส ตำรวจสอบสวนได้ความว่า ครอบครัวคนเอเซียและฝรั่งรายนี้ไม่รู้จักกันมาก่อน แต่ฝรั่งคนนี้ตั้งใจจะฆ่าทั้งครอบครัวเพราะมั่นใจว่าพวกนี้เป็นต้นเหตุของไวรัส
พี่สาวดิฉันอยู่รัฐโอเรกอนเล่าว่าไปซื้อของที่ร้านเอเซีย เจอกลุ่มวัยรุ่นอเมริกันตะโกนด่าอาม่ากับหลานเล็กๆ อายุประมาณสามสี่ขวบสองคน ซึ่งเด็กทั้งคู่ร้องไห้โฮๆ ข้างตัวมีรถเข็น อาม่ากอดหลานไว้แน่นพึมพำปลอบใจหลาน คาดว่าผู้เป็นแม่ไปถอยรถมารับ
พี่ดิฉันเลยเดินไปถามว่าจะให้ช่วยอะไรไหม อาม่าชี้กลุ่มวัยรุ่นที่กำลังตะโกนด่ารัวๆ พอเห็นพี่เดินไปถามอาม่าเท่านั้นแหละกลุ่มฝรั่งผีก็ด่าต่อทันทีว่า
“ไอ้พวกลิงกินของสกปรกตัวเชื้อโรคอย่างแกกลับประเทศไปซะ !”
จนป่านนี้อเมริกันจำนวนมาก ยังไม่มีความตระหนักสำนึกในการเป็นพาหะนำโรค ยังใช้ชีวิตเป็นปกติโดยไม่ระแวดระวัง โดยเฉพาะหนุ่มสาว ถึงขั้นจัดแคมเปญนรกออกมาท้าทายไวรัสกันเลย นั่นคือ “โคโรนาชาลเลนจ์”
ไอ้หนุ่มแคลิฟอร์เนียรายหนึ่งโพสต์คลิปเลียโถส้วมลง TikTok พร้อมกับเขียนแคปชันว่า “รีทวีตกันหน่อยเพื่อแชร์ความเข้าใจเกี่ยวกับโคโรนาไวรัส” การท้าทายไวรัสแบบนี้กลายเป็นกระแสสุดฮิต หลังจากมีเน็ตไอดอลสาวใน TikTok รายหนึ่งเริ่มทำโคโรนาชาลเลนจ์ด้วยการเลียโถส้วมบนเครื่องบิน
นอกจากเลียโถส้วมแล้ว ยังมีวัยรุ่นที่แห่ทำชาลเลนจ์ด้วยการ ‘เลียไอศกรีม’ แล้วเก็บใส่ตู้ หรือถุยน้ำยาบ้วนปากกลับลงไปในขวดแล้วนำกลับไปวางบนชั้นในซูเปอร์มาร์เกต บางคนไอบ้างขากถุยใส่ชั้นวางผักสดผลไม้ หรือไม่ก็เดินแลบลิ้นเลียสินค้าไปตามชั้นวางสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวันทั่วไป บางคนถูกจับได้ก็โดนปรับ เพราะต้องทิ้งผักสดมูลค่านับล้านบาทไปเลย ส่วนไอ้คนที่เลียโถส้วมนั่นติดโควิด 19 สมใจไปแล้ว
ประเทศนี้อุดมความบ้าอย่างหาที่สุดมิได้ แม้กระทั่งพนักงานดีลิเวอรี่ก็เอากับเค้าด้วย กล้องวงจรปิดจับภาพหนุ่มพนักงานส่งของอเมซอนมาส่งกล่องสินค้าที่ลูกค้าสั่งตามบ้าน แต่มีการถุยน้ำลายใส่ก่อนวางไว้หน้าบ้าน เคสนี้เกิดในแอลเอ แสดงจิตสำนึกอันสึกหรอขนาดหนัก เพราะแอลเอนี่คือดงระบาดโควิด 19 ในแคลิฟอร์เนีย
มาตรการล็อคดาวน์ไม่มีผลอะไรมาก เพราะอเมริกันยังใช้ตรรกะง่อยๆ ตามแบบทรัมป์ เช่น อ้างว่า คนที่ตายจากอุบัติเหตุ หรือตายจากไข้หวัดใหญ่มีมากกว่าตายเพราะไวรัสเสียอีก ทรัมป์นั้นไม่พอใจเรื่องล็อคดาวน์จึงเร่งให้เปิดประเทศ เพราะกลัวเศรษฐกิจทรุด คือห่วงแต่เศรษฐกิจอย่างเดียวนั่นแหละ แต่พอเห็นยอดคนป่วย เลยเสียงอ่อยๆ ยอมให้ล็อคดาวน์ต่อไปจนสิ้นเดือนเมษายน แต่หากพลเมืองไร้จิตสำนึก ยึดเอาแต่สิทธิเสรีภาพตนแป็นที่ตั้งแล้ว สงครามกับไวรัสหนนี้คงจบไม่สวยในอเมริกาด็อกเตอร์แอนโธนี ฟอซี ผู้นำการวิจัยโรคติดเชื้อของสถาบันสุขภาพแห่งชาติ ยืนยันชาวอเมริกันอาจเสียชีวิตจากโรคนี้ 100,000-200,000 คน และติดเชื้ออีกหลายล้านคน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี