บ่ายวันนี้ ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั่วโลกพุ่งขึ้นเกือบถึง 930,000 คน เสียชีวิตเกือบ 47,000 คน หรือประมาณ 5% ของผู้ติดเชื้อ
สหรัฐอเมริกามีจำนวนผู้ติดเชื้อมากที่สุด คือกว่า 200,00 คน ในขณะที่อิตาลีมีผู้เสียชีวิตมากที่สุด คือกว่า 13,000 คน
ตัวเลขผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างน่าตกใจในสหรัฐอเมริกาและยุโรป
ในขณะที่สาธารณรัฐประชาชนจีน ตัวเลขผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตเพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลง อัตราส่วนผู้เสียชีวิตต่อผู้ติดเชื้ออยู่ที่ประมาณ 4%
สำหรับประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อ 1,875 คน เสียชีวิต 15 คน หรือประมาณ 0.8% นับว่าดีกว่าอีกหลายประเทศมาก
อย่างไรก็ดี จำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศเราในระยะหลังๆ เพิ่มขึ้นกว่า 100 คนทุกวัน แม้รัฐบาลจะประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วราชอาณาจักรเพื่อรับมือกับการแพร่ระบาดของโรค และผลกระทบอื่นๆ ที่ตามมาตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2563 แล้วก็ตาม
หากปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินไปเช่นนี้ เราคงได้เห็นตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็นหลักหมื่นภายในไตรมาสที่สองของปีนี้อย่างแน่นอน
ในตำราการแก้ไขปัญหา ทั้งตำราของโลกตะวันตก และตำราของโลกตะวันออก มีหลักการและคำสอนอยู่ข้อหนึ่งที่คล้ายคลึงกันคือ
“ในสถานการณ์ที่ไม่ปกติ การแก้ไขปัญหาต้องใช้วิธีการที่ไม่ปกติ”
สาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นประเทศแรกที่มีรายงานการแพร่ระบาดของโรคนี้ สถานการณ์รุนแรงถึงขั้นรัฐบาลประกาศปิดเมือง และมีมาตรการคุมเข้มในการใช้ชีวิตประจำวันของผู้คน ไม่นานก็สามารถควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคให้ทุเลาลงได้ ก่อนจะค่อยๆ ผ่อนมาตรการจากหนักไปสู่เบา
ในยุโรป และสหรัฐอเมริกา แรกๆ ก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก แต่เมื่อเชื้อโรคได้แพร่ระบาดเข้าไปในประเทศของตน ต่างก็ทยอยกันปิดเมือง ปิดพรมแดน ปิดประเทศ
มีเพียง เบลารุสประเทศเดียวที่ผู้นำออกมาแนะนำให้ประชาชนใช้ชีวิตเป็นปกติ ดื่มวอดก้าวันละ 50 มิลลิลิตร เล่นกีฬา และเข้าเซาน่า ขณะที่ประเทศมีผู้ติดเชื้อแล้วอย่างน้อย 163 ราย เสียชีวิตไปแล้ว 5 ราย โดยที่รัฐบาลยังไม่มีมาตรการควบคุมโควิด-19 อย่างเป็นรูปธรรม
ในประเทศไทยเรา แม้จะไม่เสรีเท่าเบลารุส แต่ภายใต้สถานการณ์อันไม่ปกติที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 นี้ ประเทศเราก็ดูจะมีเสรีประชาธิปไตยเสียยิ่งกว่าประเทศที่เป็นผู้นำโลกประชาธิปไตยอีกหลายประเทศ จนทุกวันนี้ ขณะนั่งเขียนต้นฉบับนี้
เรายังไม่ประกาศปิดประเทศ
เรายังยืนยันจะใช้มาตรการจากเบาไปหาหนัก
แทนที่จะจัดหนักเพื่อระงับการแพร่ระบาดของโรค แล้วค่อยเบาเมื่อควบคุมสถานการณ์ได้
การใช้มาตรการจากเบาไปหาหนัก เพียงเพื่อไม่ให้ถูกโจมตีว่าเผด็จการ ไม่เคารพเสรีภาพส่วนบุคคล จะคุ้มไหมกับเศรษฐกิจที่เสียหายไปเพราะการอมโรค
จะคุ้มไหมกับชีวิตคนและสุขภาพของคนที่เสียไป เพราะไม่มีมาตรการรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคที่เข้มข้นพอ
ในสถานการณ์ที่ไม่ปกติ การแก้ไขปัญหาต้องใช้วิธีการที่ไม่ปกติเท่านั้น ปัญหาจึงจะได้รับการแก้ไขให้ตกไปได้
เพียงแต่วิธีการและมาตรการที่ออกมาใช้นี้ ต้องสมเหตุสมผล อธิบายได้ และปฏิบัติได้ เช่น ถ้าจะบังคับให้ทุกคนต้องใส่หน้ากากอนามัยเวลาออกนอกบ้าน มิฉะนั้นจะมีความผิด จะต้องถูกปรับเท่านั้นเท่านี้ อย่างที่บางจังหวัดออกประกาศคำสั่งมาบังคับใช้ ในขณะที่ประชาชนในจังหวัดนั้น ส่วนหนึ่งมีเงิน แต่หาซื้อหน้ากากอนามัยไม่ได้ ในขณะที่ประชาชนอีกส่วนหนึ่ง แค่จะหาอะไรกินไปวันๆ ก็แทบไม่มี จะเอาเงินที่ไหนมาซื้อหน้ากากอนามัย
ไม่ใช่คัดค้าน แต่ถ้าจะใช้มาตรการเข้มข้นออกคำสั่งแบบนี้ ก็ต้องดูด้วยว่า ปฏิบัติได้ไหม อย่างน้อยก็หาหน้ากากอนามัยมาแจกให้ทั่วถึงก่อน ถ้าเขาไม่ใส่ค่อยจับ น่าจะมีเหตุมีผลกว่าหรือไม่ ?
ณรงค์ฤทธิ์ ศรีรัตโนภาส
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี