ในฐานะที่อยู่อเมริกามานาน จนกลายเป็นบ้านหลังที่สองแม้จะไม่ได้รักใคร่ใยดีเหมือนแผ่นดินเกิดแต่ก็ผูกพันแผ่นดินใหม่ไม่ใช่น้อย เคยคิดว่าการอยู่นานถึง 20ปีจะทำให้เข้าใจนิสัยคนอเมริกัน แต่นั่นคือภาวะปกติ พอเกิดโรคระบาดทำให้ได้เห็นด้านมืดของอเมริกันอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนสถานการณ์ในอเมริกายังน่าหนักใจยอดผู้ป่วยสะสมตอนนี้พุ่งไปที่ห้าแสนสามหมื่นกว่ารายตายสองหมื่นหนึ่งพันห้าร้อย หายดีประมาณสามหมื่นคนรัฐที่มีผู้ป่วยมากสุดอันดับหนึ่งถึงห้าคือ รัฐนิวยอร์กเฉพาะรัฐนี้มีผู้ป่วยเป็นแสน ยอดตอนนี้คือประมาณแสนแปดหมื่นส่วนยอดตายไม่ต้องพูดถึง พุ่งไปเก้าพันสามร้อยกว่ารายอันดับสองคือรัฐนิวเจอร์ซี่ อันดับสามรัฐมิชิแกน อันดับสี่คือ แมสซาจูเซสส์ส่วนอันดับห้าคือเพนซิลเวเนีย อันดับหนึ่งถึงสามดูเหมือนจะคงที่ตลอดส่วนอันดับสี่และห้าสลับผลัดเปลี่ยนกัยมาครองแชมป์ความสยองเพื่อนคนหนึ่งที่อาศัยในนิวยอร์กเล่าว่าสถานการณ์ในแมนฮัตตันน่ากลัวมาก โฮมเลสเดินกันเกลื่อนเมือง โดยที่ตำรวจไม่กล้าทำอะไรคนเหล่านี้คือพาหะไวรัสเราดีๆ นี่เอง คนที่นี่อาศัยในอพาทเมนต์เพราะค่าเช่าแพงเหลือหลาย พอมีข่าวว่าสมาชิกร่วมอพาทเมนต์ติดโควิด19 ก็หนาวๆ ร้อนๆ ไปตามกัน
เมื่อยอดคนตายพุ่งสูงถึงวันละ 800 ศพไอ้รถเทรนเลอร์ที่เช่ามาบรรจุศพเริ่มไม่พอเสียแล้ว แถมอากาศก็เริ่มอุ่นขึ้นลองนึกภาพเมืองที่เต็มไปด้วยซากศพแล้วสยองทุกโรงพยาบาลเต็มไปด้วยรถทรนเบอร์ติดแอร์หลายสิบคันจอดท้ายโรงพยาบาล จนตอนนี้ไม่สามารถยัดศพลงไปได้อีก จึงต้องหาที่ฝังศพชั่วคราวจนไปลงตัวที่เกาะร้างแห่งหนึ่งชื่อเกาะฮาร์ทซึ่งเกาะนี้ใช้เป็นที่ฝังศพพวกคนจรจัดมาตั้งแต่สมัยโบราณทางการนิวยอร์กจ้างแรงานแต่งชุดรัดกุมมาขุดหลุมฝังศพแบบฝังรวมลำเลียงศพในโลงไม้สนราคาถูกแบบขอไปทีฝังที่นี่ไปก่อนหากใครจะมาติดต่อขอรับศพไปฝังที่สุสานอื่นต้องรอให้จบการระบาดไปก่อน ถึงจะมาขอรับศพได้ภาพหลุมลึกยาวกว้างสุดหูสุดตา ภายในบรรจุโลงสีขาวโพลนตัดกับท้องฟ้าสีเทาและต้นไม้กิ่งก้านโกร๋นเพราะยังไม่อุ่นพอจะผลิใบดูราวกับหนังสยองขวัญคนที่ตายก็ตายไป แต่คนที่ยังอยู่ก็แบกรับความทุกข์กันต่อโรคระบาดมาโครมเดียว อเมริกันตกงานกันทั่วหน้าอเมริกันจำนวนเป็นล้านๆ คนกลายเป็นผู้ว่างงานและยากจนอย่างฉับพลันครอบครัวที่อยู่ในระดับรายได้ต่ำและระดับชนชั้นกลางจะเป็นกลุ่มแรกที่ประสบปัญหา เพราะใช้ชีวิตชนิดที่เรียกว่า “เช็คต่อเช็ค”ไม่มีเงินเก็บออมแต่อย่างใดนั่นคือเหตุผลว่าทำไมอเมริกันบางส่วนถึงรีบไปซื้อปืนมาป้องกันทรัพย์สินในบ้านของตน เพราะเมื่อคนตกงานทั้งประเทศปัญหาอาชญากรรมก็ตามมา
ทั้งที่ป่วยไข้และยากจนกันขนาดนี้ผู้นำก็ยังปากดีท้าตีกับองค์การอนามัยโลกกล่าวหาด่าทอว่าองค์การอนามัยโลกว่าเอาใจจีนมากเกินไปแถมแนะนำแต่ละอย่างไม่ได้เรื่อง สรุปสั้นๆคือพอลุงโกรธที่ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ในอเมริกาได้ลุงก็พาลพาโลโทษคนอื่นด่าคนนั้นคนนี้ตามสันดานของลุงตาเป๋นั่นแหละขู่ฟ่อๆ จะตัดเงินช่วยเหลืออีกต่างหากไอ้ที่จะไปตัดเงินน่ะคือลุงผมเป๋งกเองมากกว่า เกิดมาเพิ่งเคยได้ยินจะไปตัดเงินสนับสนุนเพราะตู่เอาว่าองค์การอนามัยโลกลำเอียงเข้าข้างจีนเดี๋ยวนะ..ภาวะโรคระบาดแบบนี้ยังจะมาเพ้อเจ้อสร้างวาทกรรมโยนขี้สร้างความเกลียดชังให้จีนอีกเหรอวันก่อนแจ็คหม่าเอาหน้ากากมาให้ ไม่ยักสำนึกบุญคุณโดนตาลุงผมเป๋ด่าปาวๆ ดังลั่นโลกทางองค์กรอนามัยโลกเลยเขวี้ยงหน้ากากอนามัยทิ้งแล้วหันมาตอบโต้อย่างเผ็ดร้อน ด้วยการบอกให้อเมริกาหุบปากดีกว่าแล้วหันมาร่วมมือกับจีน ในการแก้ไขกู้วิกฤติโรคระบาดไม่ใช่เอาแต่กล่าวโทษสาดโคลนใส่จีนแบบนี้“ประเด็นหลักที่ควรให้ความสำคัญคือปกป้องชีวิตผู้คนอย่าเอาไวรัสมาเล่นการเมืองถ้าอเมริกาต้องการเห็นถุงบรรจุศพอีกมามายก็เอาเลยแต่ถ้าไม่อยากเห็นถุงใส่ศพกองโต ก็ต้องหยุดเล่นเกมทางการเมืองถ้ามัวแต่สร้างความแตกร้าวทั้งในระดับชาติและระดับโลกเมื่อนั้นไวรัสก็จะบรรลุเป้าหมาย เราสูญเสียประชากรโลกไปแล้วกว่า60,000 คนแล้วนะ”
ต้นสายปลายเหตุของการที่ตาลุงผมเป๋งับองค์การอนามัยโลกก็ไม่มีอะไรในกอไผ่เลยแม้แต่น้อย ก็แค่พาล หาแพะรับบาปแทนตัวเองให้คนอเมริกันพุ่งเป้าความโกรธแค้นไปที่คนอื่น ไม่ใช่ตัวลุงเองนั่นไงเพราะอเมริกันต่างก็ก่นด่าทรัมป์อย่างสาดเสียเทเสียจะยกเว้นก็แต่สาวกทั้งหลายที่เชื่องและเชื่อฟังทรัมป์อย่างไม่ลืมหูลืมตาบางคนหนักหนาสาหัสถึงขนาดไม่ยอมเชื่อตัวเลขยอดคนป่วยคนตายเลยด้วยซ้ำเพราะคิดว่านี่คือการโจมตีใส่ร้านท่านประธานาธิบดีสุดที่รักของตนตอนนี้มีข่าวแพร่สะพัดไปทั่วว่า การที่อเมริกันเจ็บป่วยล้มตายเป็นเบือเพราะจีนคิดค้นไวรัสแล้วส่งอาวุธชีวภาพชนิดนี้มาทำลายอเมริกาเฮ้ย..ตื่นๆ ดูหนังฮอลลีวู้ดมากไปก็แบบนี้ เพ้อเจ้อไปเรื่อยพวกที่เชื่อคือสาวกทรัมป์นี่แหละ ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากท่านผู้นำแล้วบรรดาผู้ที่คิดว่าโรคระบาดคือข่าวปลอมหรือไม่ก็ศรัทธาแรงกล้าในศาสนาจนละเลยระยะห่างทางสังคมก็มีส่วนทำให้สถานการณ์การระบาดเลวร้ายลงหมอฟอว์ซี่หรือดร.แอนโธนี ฟอว์ซีผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อชั้นนำของรัฐบาลหากเทียบหมอบ้านเราคงประมาณหมอยงทำนองนั้นออกมาประกาศว่าช่วงการระบาดจะพีคสุดในวันที่ 14-15 เมษายนดูทรงแล้วน่าจะเป็นไปได้อย่างสูง เพราะอเมริกันยังใช้ชีวิตตามปกติและกลุ่มที่น่าห่วงคือกลุ่มที่ไปโบสถ์เพราะจะเปิดให้เข้าไปปฎิบัติศาสนกิจร่วมกันในช่วงอีสเตอร์ซึ่งก็คือช่วงนี้นี่แหละ โบสถ์ใหญ่ๆ จะปิด เพราะเกรงว่าจะติดเชื้อแต่โบสถ์เล็กๆ ที่กระจายตัวทั่วประเทศจะไม่สนใจเรื่องระยะห่างทางสังคม
เมื่อนักข่าวถามบรรดาสมาชิก สมาชิกเหล่านั้นตอบว่ามั่นใจว่าตนนั้นจะไม่ติดโควิด 19 แน่นอนเพราะถูกชำระด้วยโลหิตพระเยซู และโลหิตพระเยซูรักษาได้ทุกโรคก็เข้าใจ ไม่ว่ากันเรื่องความเชื่อความศรัทธาแต่เว้นระยะไปก่อนไม่ได้หรือไงแถมหลายครอบครัวยังกินเลี้ยงกันที่บ้านเหมือนปกติอีกด้วยไม่ต้องสงสัยว่าไวรัสจะร่าเริงเพียงใดเมื่ออเมริกันสุมหัวรวมกันในนามพระเจ้าหรือในนามเทศกาลเฉลิมฉลองเวลานี้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี