นักการเมืองไทย ถ้าไม่เล่นการเมืองแบบเก่า ที่เอาแต่จ้องตำหนิโจมตี หวังผลเพื่อทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามเป็นที่ตั้งมากกว่ารักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ ก็ควรต้องเปลี่ยนพฤติกรรมจากการจ้องจับผิดจุดอ่อนข้อบกพร่องในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ของรัฐบาล อันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19 มาเป็นการให้กำลังใจ ให้ข้อเสนอแนะดีๆ หรือกระทั่งแสดงน้ำใจยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือการทำงานของรัฐบาล
ที่พูดเช่นนี้ เพราะเรากำลังต่อสู้กับเชื้อโรคที่เป็นศัตรูร่วมกันของคนทั้งชาติ และคนทั้งโลก
และที่พูดเช่นนี้ เพราะความตั้งใจและการทุ่มเททำงานเพื่อแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้ของรัฐบาลและหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเป็นข้อเท็จจริงด้านหลัก จุดอ่อนข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นเป็นข้อเท็จจริงด้านรอง
คนที่เคยทำงาน เคยอยู่ในฐานะที่ต้องรับผิดชอบหน้าที่การงาน ย่อมทราบดีว่า ไม่มีงานใดที่สมบูรณ์แบบ ย่อมต้องมีจุดอ่อนข้อบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ บ้าง เป็นเรื่องธรรมดา
วันนี้ (15 เมษายน 2563) เรามีผู้ติดเชื้อเพิ่ม 30 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 2 ราย รวมเป็นผู้ติดเชื้อสะสม 2,643 ราย เสียชีวิตสะสม 43 ราย เรามีผู้ติดเชื้อที่รักษาหายแล้ว 1,497 ราย ยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 1,103 ราย
ตัวเลขเหล่านี้ ยืนยันว่า การแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรค ประเทศเราทำได้ค่อนข้างดี เมื่อเทียบกับสถิติที่ผ่านมาของเราเอง และเมื่อเทียบกับสถิติของอีกหลายประเทศ
สิ่งเหล่านี้ ไม่อาจเกิดขึ้นได้ ถ้าไม่มีนโยบายที่ถูกต้องจากภาครัฐ ไม่มีการทำงานอย่างมืออาชีพและอย่างหนักของบุคลากรทางการแพทย์ และไม่มีการร่วมมือของประชาชนคนทั้งประเทศ
สถานการณ์เช่นนี้ ควรจะสามัคคีกัน ให้กำลังใจกัน ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือกัน ยื่นมือเข้ามาช่วยงานกัน มากกว่าจะนั่งดูเฉยๆ แล้วคอยฉกฉวยโอกาสตอดนิด ตำหนิหน่อย อย่างที่บางกลุ่ม บางพวกทำกัน
อย่าลืมว่า เรากำลังต่อสู้กับเชื้อโรคที่เป็นศัตรูร่วมกันของคนทั้งชาติ และคนทั้งโลก
จริงอยู่ จุดอ่อนข้อบกพร่องบางอย่าง ส่งผลกระทบและสร้างความไม่พอใจแก่ผู้ได้รับผลกระทบ ตัวอย่างเช่น การลงทะเบียนเพื่อขอรับการเยียวยาเดือนละ 5,000 บาท ที่นำไปสู่การชุมนุมประท้วงและเรียกร้องที่กระทรวงการคลังเมื่อเร็วๆ นี้ อันเนื่องมาจากจุดอ่อนข้อบกพร่องทางฐานข้อมูลเป็นสำคัญ
แต่การพูดกันดีๆ ด้วยเหตุด้วยผล ก็น่าจะดีกว่าการใช้อารมณ์ใส่เจ้าหน้าที่ และพูดอยู่ฝ่ายเดียวโดยไม่ยอมฟังอะไรทั้งสิ้น จนผู้สื่อข่าวต้องตะโกนออกมาว่า “ไม่รอให้เขาตอบเลย.... พี่ถามแล้วให้เขาตอบด้วยครับ”
ในยามวิกฤติ ถ้าไม่ใช้เหตุใช้ผล ไม่สามัคคีกัน บ้านเมืองก็จะไปไม่รอด
ถ้าเอาแต่ตัวเองเป็นที่ตั้ง มันก็จบกันเท่านั้น
ไม่ต้องยกตัวอย่างอะไรมาก ถ้าทุกชุมชน ออกมาประท้วงขับไล่ ไม่ให้เอาคนที่กลับจากต่างประเทศมากักตัวในบริเวณใกล้เคียงกับชุมชนของตน โดยไม่ฟังเหตุฟังผลอะไรทั้งสิ้น เราจะรับผิดชอบกับปัญหานี้อย่างไร
ถ้าไปที่ไหน คนที่อาศัยอยู่แถวนั้นรวมตัวกันออกมาไล่ เรามิต้องปล่อยให้คนเหล่านั้นเตร็ดเตร่แพร่เชื้อไปทั่วประเทศหรอกหรือ ?
ในยามนี้ คนไทยเรามีแต่ต้องสามัคคีกัน ช่วยเหลือกัน เห็นอกเห็นใจกัน มีอะไรก็ค่อยแก้ปัญหากันไป โดยยึดผลประโยชน์ของส่วนรวม ของประเทศชาติเป็นที่ตั้ง
ที่พูดเช่นนี้ ไม่หมายถึง ให้ฉวยโอกาสที่สังคมต้องการความสามัคคี มาช่วยกันทุจริตโกงกิน หรือปล่อยคนโกงให้พ้นผิด ไม่อุทธรณ์ฎีกา ยุติคดีเอาเสียดื้อๆ อย่างที่เคยทำมากันนะครับ
ณรงค์ฤทธิ์ ศรีรัตโนภาส
เมษายน 2563
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี