สถานการณ์ในอเมริกานั้นน่ากลัวมาก แต่ดูเหมือนว่าอเมริกันบางส่วน โดยเฉพาะสาวกทรัมป์ยังปิดหูปิดตา ไม่รับรู้ความน่าหวาดหวั่นของโควิด 19 แต่อย่างใด มีการทำนายจากโมเดลการเกิดโรคระบาดว่าวันที่ 14-15 เมษายนคือจุดพีคสุดของการระบาดในอเมริกา แต่บอกเลยว่ายังไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ เพราะผู้คนเจ็บป่วยล้มตายเป็นใบไม้ร่วงทุกวัน ยอดคร่าวๆ ตอนนี้คือป่วยเพิ่มวันละสามหมื่นคน และตายกันวันละสองพันถึงสองพันห้าร้อยคน
ยอดวันที่ 20 เมษายนมีคนป่วยโควิด 19 ในอเมริกา 789,383 ราย ตาย 42,303 ราย หนักสุดคือในรัฐนิวยอร์ก รองลงมาคือรัฐนิวเจอร์ซี่ อันดับสามแมซซาจูเซสส์แซง อันดับสี่คือเพนซิลเวเนีย อันดับห้าคือแคลิฟอร์เนีย
ความหนักหนาสาหัสของสถานการณ์ที่นิวยอร์ก ทำให้ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์กออกกฎให้ทุกคนสวมหน้ากากอนามัยแล้วเพื่อชะลอการระบาด เพราะเอาไม่อยู่จริงๆ แค่คนป่วยในนิวยอร์กก็ล่อไปหลักแสนแล้วคือ ประมาณสองแสนห้าหมื่นกว่า เรื่องตายไม่ต้องพูดถึง ตายกันเป็นเบือ ตายไปแล้วประมาณหมื่นเก้าพันราย อดไม่ได้ที่จะนึกถึงหลุมฝังศพที่เกาะฮาร์ท ป่านนี้คงฝังกันมือเป็นระวิง
ช่วงอีสเตอร์ อเมริกันบางส่วนยังไปโบสถ์ โดยอ้างเสรีภาพทางความเชื่อโน่นนี่นั่น ไม่ยักคิดเลยว่าเสี่ยงต่อการติดเชื้อขนาดไหน คงไม่เคยอ่านข่าวเรื่องอาจุมม่าที่เกาหลีเลยสินะ แต่ท่ามกลางความหายนะ คนตายกันโครมๆ ขนาดนี้ ยังมีความหายนะกว่า เมื่อประธานาธิบดีผมเป๋เสนอแนะให้เปิดประเทศ ยกเลิการล็อคดาวน์ เพราะเป็นห่วงเศรษฐกิจ พอหัวขบวนขยับ หางก็กระดิกตามทันที
เทรย์ ฮอลลิงส์วอร์ท สส. รีพับลิกันรัฐอินเดียน่าให้ความเห็นว่า ยอมให้มีคนตายดีกว่าเศรษฐกิจพังพินาศ สวนทางกับกรมควบคุมโรคของสหรัฐฯ หรือ CDC ที่ขอความร่วมมือคนอเมรริกันสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า หลีกเลี่ยงการพบปะผู้คนหรือรวมกลุ่มกันหลายคน รวมทั้งหลีกเลี่ยงการใช้รถขนส่งสาธารณะ เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโควิด-19
ประเด็นใหญ่ใจความตอนนี้คือ ระหว่างที่ชาวบ้านชาวช่องในอเมริกาแทบทุกรัฐนอนดูซีรีย์ที่บ้านเพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อ แบบเดียวกับที่คนไทย “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” ก็เกิดการประท้วงในรัฐมิชิแกน ทั้งที่ยอดคนตายคนป่วยอยู่อันดับต้นๆ จนตอนนี้ไม่มีที่เก็บศพแล้วในดีทรอยต์ ต้องเอาไปฝากไว้ในห้องที่เป็นห้องทดสอบการนอน โดยพาดสองศพไว้บนเตียง อีกศพให้นั่งเก้าอี้ราวกับหนังสยองขวัญ กระนั้นชาวมิชิแกนก็แห่ไปประท้วงที่อาคารรัฐสภาในเมืองแลนซิ่ง แสดงความไม่พอใจผู้ว่าการรัฐมิชิแกน ซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมากับทรัมป์มาตลอด
ผู้ว่าการรัฐมิชิแกน เกร็ตเชน วิตเมอร์ ประกาศภาวะฉุกเฉินรัฐเมื่อต้นเดือนมีนาคมให้ทุกคนอยู่บ้าน และให้ธุรกิจหยุดกิจการ ต่อมาเดือนเมษายน มีการออกคำสั่งเข้มงวดกว่าเก่า เพราะยอดคนป่วยคนตายพุ่งสูงทุกวัน คือ ยืดระยะเวลาการกักตัวอยู่ที่บ้านออกไปจนถึงวันที่ 1 พ.ค. แถมพ่วงด้วยการสั่งห้ามขับเรือไปตามลำน้ำ ห้ามเดินทางไปบ้านพักตากอากาศ ห้ามขายเฟอร์นิเจอร์และเครื่องทำสวน ซึ่งช่วงนี้คือช่วงที่ทุกบ้านทำสวนกันนั่นเอง
กลุ่มประท้วงใช้วิธีการขับรถไปชุมนุมกัน แล้วบีบแตรสนั่นหวั่นไหว โดยเรียกปฏิบัติการนี้ว่า Operation Gridlock สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้สัญจรไปมาอย่างหนัก เพราะนอกจากบีบแตรแล้ว ยังแหกปากโวยวายตลอดเวลา บุคลากรทางการแพทย์ในมิชิแกนถึงกับออกมาโวยว่า เพราะคนกลุ่มนี้จอดปิดถนน ทำให้ตนไปทำงานที่โรงพยาบาลไม่ได้
คนเหล่านี้เชื่อว่าข้อมูลเกี่ยวกับโควิด 19 ที่รัฐบาลและสื่อมวลชนเผยแพร่เป็นนข่าวปลอม สร้างความแตกตื่นหวาดกลัวจนเกินเหตุ จะได้ถือโอกาสควบคุมประชาชนได้โดยง่าย บางส่วนก็อ้างเสรีภาพว่า เสรีภาพที่ไม่ปลอดภัย ดีกว่าการถูกคุมขังเยี่ยงทาส
เดี๋ยวนะ..นี่เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า นี่ขนาดล็อคดาวน์กันทั้งเมืองทั้งรัฐ พี่ก็ยังออกมาขับรถกันปร๋อ ไปโน่นมานี่ อุ้มลูกจูงหลานมาเดินเล่นในห้างวอลมาร์ทกันเพียบ แล้วอยู่บ้านเนี่ย มีทั้งอินเตอร์เนต ทั้งทีวี ซีรีย์สารพัด อาหารก็ไม่ได้ขาดแคลนอะไร จะเยี่ยงทาสผิวดำที่บรรพบุรุษพวกพี่ไปฉุดกระชากมาทำงานหนักในไร่ฝ้ายได้ยังไง
เพื่อแสดงว่าพี่ไม่ได้มาเล่นๆ หลายคนเดินมาประท้วงพร้อมสะพายปืนกลก๋ามาด้วย บางคนก็ชูป้ายสนับสนุนทรัมป์อย่างออกนอกหน้า คือทรัมป์เคยแขวะกัดผู้ว่าการหญิง (สาวสวย) รัฐมิชิแกนมาหลายหน เลยทำให้สาวกขู่คำรามเป็นการใหญ่ โดยอ้างเสรีภาพนำสุขภาพ เพื่อยุติการล็อคดาวน์ในมิชิแกน
ผู้ประท้วงบางคนก็ให้เหตุผลว่า ยกเลิกการปิดเมืองเถอะ อยากตัดผมจะตายอยู่แล้ว เห็นแล้วปวดตับกับเจ๊เฮียพวกนี้จริงๆ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน อย่าตัดผมเลยนะ เสียเวลา ต้องตัดแล้วตัดอีกอยู่เรื่อย แนะนำให้ตัดหัวเลยดีกว่า
กลุ่มผู้ประท้วงแทบไม่มีใครใส่หน้ากากอนามัย และไม่มีการทำ Social Distancing แถมยังพาเด็ก ๆ มาร่วมประท้วงด้วย พวกที่มาประท้วงไม่ได้มาจากมิชิแกนรัฐเดียว แต่ยกโขยงมาจากรัฐที่เป็นฐานคะแนนของทรัมป์ เช่น เคนตักกี โอไฮโอ ยูทาห์ นอร์ธแคโรไลนา และเวอร์จิเนีย แทนที่อีตาลุงผมเป๋จะห้ามจะปราม เพราะบ้านเมืองอยู่ในช่วงวิกฤติ กลับไม่ห้าม แถมยุส่ง ด้วยการทวีตรัวๆ ว่า ปลดปล่อยมินเนโซตา! ปลดปล่อยมิชิแกน! ปลดปล่อยเวอร์จิเนีย..
ผู้ว่าการรัฐที่อยู่ในคอกในสังกัดของลุงทรัมป์ก็ประกาศปังว่าเปิดชายหาดเว้ยเฮ้ย ว่าแล้วผู้ว่าการรัฐฟลอริด้าก็เปิดหาดแจ็คสันวิลล์ คนเลยแห่ไปแจกจ่ายโควิด 19 กันเต็มหาด ทั้งที่ฟลอริด้านั้นยอดป่วยสูงลิ่วเป็นอันดับ 8 ของประเทศ
ตอนนี้ผู้ประท้วงซึ่งพูดง่ายๆ ว่าส่วนมากเป็นสาวกทรัมป์กระจายตัวประท้วงไปหลายรัฐ รัฐอินเดียน่าที่ผู้เขียนอาศัยอยู่ก็มีการประท้วง ที่เป็นตลกร้ายชอบกล ผุ้ประท้วงก่นด่าผู้ว่าการรัฐว่าละเมิดสิทธิเสรีภาพพลเมือง แต่ดันแห่ไปประท้วงหน้าบ้านผู้ว่าการรัฐในวันเสาร์
ในเดนเวอร์นั้นเด็ดสุด เมื่อพวกประท้วง “อยู่บ้านหยุดเชื้อ” ออกมากร่างเต็มถนน บีบแตรกันแสบแก้วหุ บุคลากรทางการแพทย์เดินออกมาหยุดยืนกลางถนนขวางกลุ่มผุ้ประท้วง แล้วทำหน้าอึนๆ ไม่แยแสคนกลุ่มนี้ เหมือนเหนื่อยหน่ายเต็มประดา
ตอนนี้อเมริกันต้องเลือกระหว่างเสรีภาพและสุขภาพ ในฐานะที่อาศัยอยู่ที่นี่จนกลายเป็นบ้านที่สอง แม้เห็นว่าไม่ควรเปิดประเทศหรือเปิดรัฐ เพราะอเมริกายังรับสถานการณ์ไม่ได้ แถมสินค้าที่ใช้ทำความสะอาดก็ขาดตลาดทุกรัฐทุกเมือง
หากอเมริกาจะ Reopen อย่างน้อยควรให้สินค้าที่จำเป็นต่อการรักษาความสะอาด ไม่ขาดตลาดเสียก่อน สินค้าเหล่านี้ เช่น กระดาษเช็ดก้น น้ำยาทำความสะอาดชนิดฆ่าไวรัส ทั้งคลอร็อกซ์และไลซอล บลีซ เจลล้างมือ แอลกฮอลล์ หน้ากากอนามัย และกระดาษเปียกชนิดฆ่าไวรัส
สินค้าที่จำเป็นเพื่อสุขอนามัยพื้นฐานพวกนี้ยังขาดตลาดทุกเมืองทุกรัฐ เรื่องพื้นฐานแบบนี้ยังแก้ปัญหาไม่ได้ แล้วจะหวังให้ประชาชนพลเมืองอเมริกัน ป้องกันตัวเองจากโควิด 19 ได้อย่างไร เชื่อว่าหากมีการเปิดเมืองเปิดประเทศกันตอนนี้ อเมริกันคงตายกันเกลื่อนทุกรัฐ มากกว่าตอนนี้หลายเท่าตัว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี