ระยะนี้ ถ้าใครดูข่าวทั้งข่าวเช้าและข่าวค่ำทาง ทีวี. โดยเฉพาะช่องที่แข่งกันทำกราฟิก จะรู้สึกได้ดีว่า เวลาการนำเสนอข่าวเกือบทั้งหมด หมดไปกับข่าวอาชญากรรม ที่บางข่าวแทบไม่มีความคืบหน้า ไม่มีสารัตถะประโยชน์แต่ประการใด แต่ผู้ทำรายการก็สามารถหยิบแง่โน้นมุมนี้มาต่อยอดให้เป็นข่าวนำเสนอผู้ชมได้ทุกวัน ซ้ำร้ายข่าวอาชญากรรมที่แข่งกันนำเสนอระยะหลัง ก็ล้วนแต่เป็นข่าวที่ฟังแล้วชวนให้เศร้าสลดหดหู่ใจเป็นอย่างยิ่ง ฟังไปดูไปจิตใจมีแต่เศร้าหมอง
นอกจากข่าวรายวันประเภทผัวขี้ยาฆ่าเมียตัวเองข่าวหนุ่มแค้นฆ่านั่งยางคนหลอกเมียตนไปข่มขืน และข่าวน้องชมพู่ เด็กหญิงวัยสามขวบที่พบเป็นศพอยู่ในป่าที่นำเสนอต่อเนื่องราวกับละครซีรีส์หลังข่าวแล้ว ยังมีข่าวแม่ปุ๊กแอบกรอกยาพิษให้เด็กป่วยแล้วโพสต์ขอความช่วยเหลือจากคนใจบุญ ข่าวฆ่าม่ายสาวที่ตีตัวออกห่างแล้วส่งไลน์ลวงหนุ่มคนสนิทของม่ายสาวมาฆ่า ข่าวพี่ชายคนโตฆ่าน้องชายสองคนเพราะปมมรดกเลือด ข่าวพ่อฆ่าลูกเพราะเป็นชู้กับเมียของลูกที่ฆ่า ฯลฯ
สังคมเรามาถึงจุดนี้กันแล้วหรือ จุดที่มีแต่ข่าวร้ายและสะเทือนใจ จุดที่คนในสังคมต้องนั่งเสพข่าวประเภทนี้กันแต่เช้าและทุกค่ำคืน
ในฐานะของอดีตนักข่าวในระยะสั้นๆ เมื่อราวปี พ.ศ. 2518 ยังจำได้ไม่ลืมว่าเวลานั้น มีการถกเถียงกันในหมู่ผู้สื่อข่าวถึงบทบาทการทำข่าว
กลุ่มหนึ่งเห็นว่า ข่าวต้องเป็นข่าว นักข่าวต้องไม่สร้างข่าว และเมื่อมีข่าวอะไรก็ต้องรายงานไปตามนั้น
อีกกลุ่มหนึ่งเห็นว่า ข่าวสามารถบริหารจัดการได้ นักข่าวเลือกที่จะรายงานหรือไม่รายงานได้โดยคำนึงถึงประโยชน์ที่จะเกิดแก่สังคม
เวลานั้น ผมเลือกที่จะแสดงบทบาทของนักข่าวในกลุ่มหลัง เพราะเชื่อว่าเป็นไปไม่ได้ที่นักข่าวจะแสดงบทบาทแบบกลุ่มแรก ไม่ต้องอะไรมาก ข่าวบางข่าว ถ้าผู้มีอำนาจสั่งไม่ให้รายงาน นักข่าวก็รายงานไม่ได้ ที่ว่า ข่าวต้องเป็นข่าว ก็ไม่เป็นความจริง
ด้วยเหตุนี้ ผมจึงเชื่อว่า นักข่าวหรือสื่อสามารถบริหารจัดการข่าวได้ ไม่ระดับใดก็ระดับหนึ่ง
ยกตัวอย่างก็ได้ ในปี พ.ศ. 2518 ที่ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี เวลานั้น มีข่าวการเรียกร้องให้ยกเลิกกฎหมายฉบับหนึ่งซึ่งให้อำนาจเจ้าหน้าที่ขังผู้ต้องหาที่ถูกกล่าวหาว่ามีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ได้โดยไม่มีกำหนดระยะเวลา หรือที่เรียกกันในสมัยนั้นว่า “กฎหมายขังลืม” ข่าวนี้ก็เช่นเดียวกับข่าวอื่นๆ ลงข่าววันเดียวถ้าไม่ทำอะไรต่อ ข่าวนี้ก็จะเงียบหายไป ผู้ต้องหาคดีนี้ก็จะถูกขังลืมต่อโดยไม่มีกำหนดระยะเวลา
เวลานั้นนักข่าวจำนวนหนึ่งซึ่งรวมทั้งผมด้วยเห็นว่า กฎหมายขังลืมฉบับนี้ ขัดหลักวิธีพิจารณาคดีอาญา และขัดหลักสิทธิมนุษยชน เป็นเครื่องมือให้ผู้มีอำนาจกลั่นแกล้งทำร้ายฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองได้ นักข่าวกลุ่มนี้จึงพยายามติดตามสัมภาษณ์ฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เป็นประจำ ทั้งฝ่ายเรียกร้องให้ยกเลิกกฎหมาย และ ฝ่ายรัฐบาล เพื่อไม่ให้ข่าวเงียบหายไป จำได้ว่าระยะหนึ่งที่ผมตามสัมภาษณ์ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช เกี่ยวกับท่าทีของรัฐบาลต่อกฎหมายขังลืมฉบับนี้ที่รัฐสภา จี้ถามท่านทุกวันโดยเรียกท่านว่า “อาจารย์” เนื่องจากท่านเคยเป็นอาจารย์สอนพวกเราที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ถามจนท่านรำคาญ ถึงกับตัดพ้อขอความเห็นใจว่า “ปัดโธ่ จะเอาอะไรกันนักหนา”(นักการเมืองสมัยนั้น ไม่มีใครกล้าตะคอกนักข่าวเหมือนสมัยนี้ และถ้าขืนทำ นักข่าวสมัยนั้นก็ไม่ยอม) แล้วในที่สุด กฎหมายฉบับนี้ก็ถูกยกเลิกไป เพราะไม่อาจทนกระแสเรียกร้องที่เป็นข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์อยู่ได้ทุกวัน
ด้วยเหตุนี้ ผมจึงเชื่ออย่างมั่นคงว่า ข่าว บริหารจัดการได้ เพียงแต่ต้องบริหารจัดการให้เกิดผลดีต่อสังคมเท่านั้น
นักข่าว หรือ สื่อ จึงมีหน้าที่ต้องบริหารจัดการข่าว มิใช่แค่รายงานข่าว มิใช่แค่ข่าวต้องเป็นข่าว
ความจริงทุกวันนี้ นักข่าว หรือ สื่อ ก็บริหารจัดการข่าวกันอยู่ทุกวันแล้ว ไม่ว่าจะยอมรับกันหรือไม่ก็ตาม ไม่เช่นนั้น คงไม่มีการไปสัมภาษณ์ ไปต่อยอดเรื่องราว กระทั่งไปถามมดถ่อหมอผีให้ช่วยดูว่าเสื้อน้องชมพู่อยู่ที่ไหน วิญญาณน้องชมพู่ถูกปีศาจกี่ตัวกักขังไว้ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้คือการสร้างเรื่องราวเพิ่มเติมให้คนติดตามข่าวเพื่อเพิ่มเรตติ้งของการเข้าชม แต่จะเป็นประโยชน์ต่อสังคมมากน้อยแค่ไหน ก็ลองพิจารณากันดู
ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ ก็แค่อยากจะบอกในฐานะคนดูข่าวทาง ที.วี. คนหนึ่งว่า ข่าวร้ายๆ ที่เสนออยู่ทุกวันนี้ มีมากเกินพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปต่อยอดขยายความให้สังคมดูเสื่อมทรุดยิ่งไปกว่านี้อีกผมและเชื่อว่าน่าจะมีผู้ชมอีกหลายคน อยากดูข่าวอื่นบ้าง
ข่าวดีๆ มีบ้างไหมครับ ?
ณรงค์ฤทธิ์ ศรีรัตโนภาส
พฤษภาคม2563
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี