สถานการณ์โควิดยังยืนหนึ่งด้านการเป็นเจ้าโรค แต่ดูเหมือนว่าพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกในอเมริกา ใครที่อ่านคอลัมน์นี้บ่อยๆ จะเห็นว่าดิฉันเล่าเรื่องสงครามระหว่างสีผิวบ่อยครั้งบ่อยหน ความชิงชังระหว่างคนสองสีผิวเกิดขึ้นและสั่งสมเรื่อยมา ตั้งแต่ยุคก่อนสงครามกลางเมือง จนเกิดสมาคมลับล่าคนผิวดำที่เรียกว่าคูคลักแคลนซ์
แม้จะเลิกทาสแล้ว แต่สงครามระหว่างสีผิวยังคงดำเนินต่อไป ที่ชัดเจนอีกเรื่องคือกฎหมายจิมโครว์ ซึ่งพูดชัดๆ คือกฎหมายที่ริดรอนสิทธิ์คนผิวดำ โดยมีการแบ่งแยกคนผิวขาวและคนผิวดำอย่างชัดเจน ในเรื่องการใช้บริการสาธารณะและสาธารณูปโภค เช่น การโดยสารรถประจำทาง คนผิวดำจะต้องไปนั่งข้างหลัง ส่วนคนผิวขาวได้นั่งข้างหน้า หากคนผิวดำได้ที่นั่งแล้วคนผิวขาวขึ้นมาบนรถโดยสาร คนผิวดำจะต้องลุกให้คนผิวขาวนั่ง หรือการใช้ห้องน้ำสาธารณะก็ห้ามใช้ปะปนกัน ก๊อกน้ำดื่มสาธารณะก็แยกออกจากกันโดยชัดเจน แม้แต่ประตูทางเข้า-ออกของอาคารแต่ละแห่ง
นอกจากนี้ยังมีการออกกฎหมายแบ่งแยกโรงเรียนระหว่างเด็กผิวขาวและผิวดำอีกด้วย ที่สำคัญคือห้ามแต่งงานข้ามสีผิวอย่างเด็ดขาด ทั้งหมดนี้ภายใต้นโยบาย "แบ่งแยกอย่างเท่าเทียม" ("Seperate but equal") ส่งผลให้คนผิวดำในรัฐทางตอนใต้กลายเป็นพลเมืองชั้นสอง มีคุณภาพชีวิตด้อยกว่าคนผิวขาวและไม่ได้รับความเสมอภาคทางกฎหมาย
แม้จนกระทั่งปัจจุบัน การเหยียดผิวและอคติต่อคนสีผิวอื่นยังปรากฎเป็นข่าวให้เห็นบ่อยๆ แต่เริ่มถี่ขึ้นตั้งแต่วันที่ตาลุงผมเป๋เข้ามานั่งในทำเนียบขาวนั่นแหละ เพราะตัวทรัมป์นั้นเหยียดผิวตัวพ่อเลยทีเดียว หลายครั้งหลายหนที่ตำรวจผิวขาวฆ่าคนผิวดำอย่างไร้เหตุผล จะเกิดการประท้วงประปราย เมื่อฝูงตำรวจเอาไม้ไล่หวดก็เงียบสงบศพแล้วศพเล่า ตำรวจผิวขาวเหล่านี้มักลอยนวล ไม่ได้รับโทษอย่างที่ควรได้รับ
อาทิตย์ที่ผ่านมาคือเป็นฝันร้ายของอเมริกันผิวสี เพราะเกิดเหตุการณ์ซ้ำซากขึ้นอีกแล้วที่เมืองมินนิอาโปลิส จอร์จ ฟลอยด์ ชายผิวดำร่างยักษ์ เรียนจบระดับมหาวิทยาลัย และเคยเป็นนักกีฬาอเมริกันฟุตบอล จอร์จถูกแจ้งจับเพราะใช้แบงค์ยี่สิบดอลลาร์ปลอมซื้อบุหรี่ที่ร้านสะดวกซื้อ ซึ่งเจ้าตัวอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแบงค์ปลอม แต่เมื่อเงินคือของปลอมก็ต้องแจ้งตำรวจ ทีนี้ประเด็นที่ทำให้เกิดเรื่องลุกลามบานปลายคือ ตำรวจผิวขาวคนหนึ่งใช้เข่ากดคอจอร์จนานหลายนาที ทั้งที่จอร์จวิงวอนขอชีวิต บอกตำรวจว่า ได้โปรด...ผมหายใจไม่ออก สุดท้ายร้องหาแม่ที่เสียชีวิตไปเมื่อปีกลายอย่างน่าเวทนาว่า
“แม่ครับ..ผมหายใจไม่ออก”
คงเป็นสำนึกและถ้อยคำสุดท้ายของชายผิวดำผู้เคราะห์ร้าย เพราะจากนั้นก็ถึงแก่ความตาย ขณะที่ตำรวจผิวขาวกดคอ ตำรวจอีก 3 คน รวมทั้งตำรวจเชื้อสายม้งยืนมองเฉยๆ ความตายของจอร์จทำให้ผู้คนลุกฮือก่อม็อบที่มินนิอาโปลิส ส่งผลให้ม็อบกระจายตัวไปทุกเมืองในอเมริการาวไฟลามทุ่ง ตำรวจทั้งสี่นายถูกไล่ออก แต่สายไปเสียแล้ว เพราะฝูงม็อบที่โกรธแค้นตะโกนว่า “ไม่มีความยุติธรรม ไม่มีสันติภาพ” และ “ฉันหายใจไม่ออก” จากนั้นก็เผาสถานีตำรวจและปล้นร้านรวงในเมืองมินนิอาโปลิส
ศพแรกสังเวยม็อบคือ ม็อบที่เมืองอินเดียนาโปลิส ซึ่งเป็นเมืองหลวงรัฐอินเดียน่า ระหว่างที่กำลังม็อบกันอยู่ ผู้ไม่ประสงค์จะออกนาม แต่รำคาญและอคติต่อคนผิวดำเลยลั่นไกจนตายไปหนึ่งศพ ส่วนในชิคาโก้นั้น ฝูงชนไล่ฟาดตำรวจจนกระดูกกระเดี้ยวหักหามเข้าโรงพยาบาลกันเลยทีเดียว ที่นิวยอร์ก ฝูงชนเผาทำลายรถตำรวจร่วมห้าสิบคัน
ในเมืองเมมฟิส การประท้วงบานปลายจนเจ้าหน้าที่ต้องปิดถนน ที่ลองแองเจลิส ผู้ชุมนุมนับร้อยรวมตัวกันเดินเท้าไปศูนย์ราชการ บางส่วนเข้ากีดขวางทางพิเศษสาย 101 ผู้ชุมนุมประท้วงนับร้อยรวมตัวกันในเมืองแอตแลนตา ทุบทำลายอาคารร้านค้าย่อยยับ เช่นเดียวกับในหลายเมืองทั่วประเทศ แม้แต่เมืองเล็กๆ ที่ดิฉันอยู่ในรัฐอินเดียน่ายังลุกฮือไปประท้วงร่วมพัน รถไฟระหว่างเมืองและชิคาโก้ปิดทำการ เพราะคุมสถานการณ์ไม่ได้
ที่น่าตกใจสุดๆ คือ ขณะที่นักข่าวผิวสีของสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นรายงานข่าว กลับถูกตำรวจจับกลางอากาศ โดยไม่แจ้งข้อกล่าวหา ไม่มีคำอธิบาย ขณะที่กำลังรายงานสดหน้ากล้องให้สถานี ขณะที่นักข่าวผิวขาวไม่โดนจับแต่อย่างใด เล่นเอาสถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก คนก่นด่าตำรวจเมืองมินนาโปลิสกันทั้งโลก แต่บอกตรงๆว่า ตำรวจส่วนมากสนับสนุนตาลุงผมเป๋ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่จะได้เห็นอะไรแบบนี้ แม้จะเจ็บปวดใจ แต่ไม่ใช่เรื่องเกินคาดเดา
บรรดาดาราเซเลบหลายคนก็ออกมาหนุนให้เกิดการประท้วง รวมทั้งนายกเทศมนตรีชิคาโก้ที่แซ่บเหลือหลาย เธอเป็นสตรีผิวดำ ประกาศผ่านทุกสื่อชัดเจนว่ามีคำพูดสองคำที่อยากให้มอบให้ทรัมป์คำแรกขึ้นต้นด้วยเอฟ และคำที่สองลงท้ายด้วยตัวยู แรงมากจ้า.. แม่ ระหว่างที่ออกสื่อ หน้าตานางแสดงออกถึงความโกรธเคืองชัดเจน
การจลาจลขยายวง และมีคนตายมากขึ้น อย่างน้อยก็ห้าคนแล้วเวลานี้ มีการยิงปืนเข้าใส่ผู้ชุมนุมในเมืองมินนีแอโพลิส ตาย 1 ราย บาดเจ็บอีก 3 ราย อีกศพพบที่เมืองเซนต์หลุยส์ หลังผู้ประท้วงปิดทางหลวงสาย 44 จุดไฟและพยายามปล้นรถบรรทุกของ FedEx ถัดมาไม่ไกลจากละแวกบ้าน ชิคาโกมีผู้ถูกยิง 6 ราย และเสียชีวิตในคืนนั้น 1 ราย ขณะที่ชายอายุ 21 ปีในเมืองดีทรอยต์ถูกยิงเสียชีวิตขณะนั่งอยู่ในรถ จับมือใครดมไม่ได้ว่าเป็นฝีมือฝ่ายไหนและโดยใคร
ส่วนการปล้นนั้น ปล้นดะไปหมด ตั้งแต่ร้านรวงโน่นนี่ ห้างทาร์เกต ลากยาวไปปล้นร้านหลุยส์วิตตองและร้านไนกี้ คลิปแสดงให้เห็นถึงฝูงชนทั้งผิวขาวผิวดำกรูกันไปฉวยของหรูหราราคาแพง แล้ววิ่งออกมาแบบไม่แคร์ใดๆ ทั้งสิ้น บางคนหิ้วกระเป๋าชาแนลออกมาถึงสี่ใบ เจ้าของร้านหลายแห่งเลยลากปืนออกมาปกป้องร้านตัวเอง
สวนสาธารณะลาฟาเยตต์ (Lafayette Park) ที่อยู่ตรงข้ามกับทำเนียบขาวพบว่า มีผู้ประท้วงคนหนึ่งจุดไฟเผาธงชาติสหรัฐฯ ควันโขมง สงสัยไปทำให้ทรัมป์เคืองตาเลยออกมาทวิตด่ารัวๆ
ในฐานะผู้นำประเทศ แทนที่จะสงบศึกให้สงครามสงบลง แต่ตาลุงผมเป๋กลับทำให้สถานการณ์เลงร้ายขึ้น ข่มขู่ว่าจะปล่อยหมาดุและอาวุธจัดหนักคนที่บุกข้ามรั้งทำเนียบขาวเข้ามา ดูทรงแล้วตาลุงปากกล้าแต่ขาสั่น เพราะพอฝูงชนตะโกนด่ารัวๆ พร้อมทั้งขว้างปาโน่นนี่มอบให้ลุงด้วยความรัก เจ้าหน้าที่ต้องหิ้วปีกลุงลงไปหลบในห้องใต้ดินอยู่หลายชั่วโมง แทนที่จะสงบปากสงบคำ ดันทวิตโน่นนี่รัวๆ แต่มีทวิตหนึ่งที่ยิ่งกระพือไฟแค้นให้ฝูงชนที่สุดคือ “เมื่อการปล้นสะดมเริ่มขึ้น การยิงก็เริ่มขึ้น” เหมือนส่งสัญญาณเป็นนัยให้ทหารตำรวจจัดหนักประชาชนนั่นแหละ
คิดหรือว่าความปากดี (ที่จริงแล้วปากเสียน่าจะเหมาะกว่า) ของลุงแกจะหยุดแค่นั้น ถ้านั่งยิ้มเล่นหำตัวเองก็คงไม่ใช่ตาลุงผมเป๋แล้ว แกทวิตด่าผู้ว่าการรัฐนั้นรัฐนี้ว่า "อ่อนแอ" และเรียกร้องให้ปราบปรามอย่างหนักกับฝูงชน
"คุณจำเป็นต้องจับกุมไล่ล่าฝูงชน จำเป็นต้องนำตัวพวกนั้นไปขังคุก 10 ปี แล้วจะไม่เห็นอะไรแบบนี้เกิดขึ้นอีก"
บอกตรงๆ ว่าอเมริกาเวลานี้เหมือนกลียุค เมือง 40 แห่งประกาศใช้เคอร์ฟิว มีการส่งกองกำลังพลสำรองประจำการใน 15 รัฐ และจับกุมฝูงม็อบไปแล้วราว 4,000 คน การประท้วงยังลามไปนอกอเมริกา ทั้งในกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร เมืองโอ๊คแลนด์ เวลลิงตัน และไครสต์เชิร์ชในนิวซีแลนด์ กรุงเบอร์ลินของเยอรมนี เมืองซิดนีย์ บริสเบน และเมลเบิร์นในออสเตรเลีย
ทั้งหมดนี้คือความสวยงามของประชาธิปไตย อย่างที่นักการเมืองอเมริกันพรรคเดโมแครตเคยพูดไว้ ตอนนักข่าวถามถึงสถานการณ์ม็อบในฮ่องกงที่กระทืบกันหัวร้างข้างแตก แต่พอเกิดขึ้นในอเมริกา ทำไมตาลุงผมเป๋ไม่ยักเห็นความสวยงามของประชาธิปไตยบ้างเลย เร่งจะให้หมางับก้นบ้างล่ะ หรือจะให้ส่งทหารไปกระทืบประชาชนพลเมืองที่ลุงควรทำหน้าที่บำบัดทุกข์บำรุงสุขบ้างล่ะ มองให้เห็นความสวยงามสิจ๊ะ ลุงทรัมป์
วันก่อนเห็นท่านทูตอเมริกาประจำประเทศไทยซักไซ้ไล่เรียงถามรัฐบาลเราว่า ทำไมถึงยังคงใช้พรก.ฉุกเฉินและเคอร์ฟิว แต่คิดว่านาทีนี้ท่านทูตอเมริกาประจำไทยคงเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมเราต้องมีเคอร์ฟิว และมีพรก.ฉุกเฉิน
เปลวเพลิงจากการเผาศาลากลาง ร้านรวง ศาล และสถานีตำรวจเจิดจ้าจับตาในยามรุ่งสางจนอดไม่ได้จะนึกถึงประโยคแรกของเพลงชาติอเมริกันที่ขึ้นต้นว่า
O say can you see, by the dawn’s early light.-โอ..นั่นคุณมองเห็นไหม..ท่ามกลางแสงสลัวแห่งอรุณรุ่ง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี