เมื่อวานนี้ (24 มิถุนายน 2563) ครบรอบ 88 ปี ของการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช มาเป็นประชาธิปไตย
เป็นประชาธิปไตยอย่างที่เห็นกันทุกวันนี้ คือเป็นประชาธิปไตยที่ไม่เป็นประชาธิปไตยจริงๆ เป็นครึ่งๆกลางๆบ้าง อำนาจไปอยู่กับทหารบ้าง ไปอยู่กับนายทุนบ้าง แล้วก็โทษคณะราษฎรที่ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 กลายเป็นว่า เป็นกลุ่มบุคคลที่ปล้นพระราชอำนาจ เป็นพวกคิดคดทรยศ ฯลฯ
ต้องถามกลับไปว่า เราจะเดินไปข้างหน้าคือประชาธิปไตย หรือจะกลับไปสู่อดีต สู่คืนวันเก่าๆ
ถ้าจะไปข้างหน้า ก็ต้องมองความเป็นจริงว่า ที่เราไม่เป็นประชาธิปไตยทุกวันนี้เพราะเหตุใด ?
คณะราษฎร ที่เปลี่ยนแปลงการปกครอง 99 ท่าน ซึ่งประกอบด้วย ทหารบก 32 นายทหารเรือ 21 นาย พลเรือน 46 นาย นั้นล้มหายตายจากไปแล้ว นานแล้ว และถ้าจะมองว่าเมื่อได้อำนาจมาแล้ว ก็มาเป็นใหญ่เสียเอง แก่งแย่งกันเอง ก็อยากให้มองความเป็นจริงว่า เมื่อแรกของการเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้น ตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี ก็คือ มหาอำมาตย์โท พระยามโนปกรณ์นิติธาดา ซึ่งอยู่คนละขั้วกับคณะราษฎร ด้วยซ้ำ
และเป็นที่มาของการปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรในเวลาต่อมา ทำให้คณะนายทหารต้องยึดอำนาจอีกครั้งในเวลาหนึ่งปีต่อมา
คณะราษฎรคนสุดท้ายที่มีอำนาจ คือจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งก็หมดอำนาจลงเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2500 วันที่ สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่เคยบอกว่าจะไม่วัดรอยเท้า จะเป็นทหารเสือคู่ใจไปตลอด ยึดอำนาจ และต้องไปลี้ภัยที่ญี่ปุ่นจนกระทั่งอสัญกรรม
การจะให้ คณะราษฎร มารับผิดชอบกับพฤติกรรมของนักการเมืองจนกระทั่งถึงทุกวันนี้จึงออกจะมากไปหน่อย เจตนารมณ์ ในการก่อการครั้งโน้นก็เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองด้วยหวังว่าบ้านเมืองจะวัฒนาสถาวรขึ้น ใครเลยจะไปรู้ว่านักการเมืองยุคต่อๆมามันจะเจ้าเล่ห์เพทุบาย ร่ำรวยแล้วก็ยังโกง เอาหุ้นไปยัดไว้กับคนใช้คนขับรถใครเลยจะนึกว่าเสียงสภาส่วนใหญ่มันจะเห็นดีเห็นงามกับนายกรัฐมนตรีโง่ๆไม่ประสีประสาทางการเมือง จำนำข้าวในราคาที่สูงกว่าการซื้อขายกันในตลาด เป็นเหตุให้มีการทุจริตตั้ง 5/6 แสนล้านบาท
อย่าว่าแต่เสียงส่วนใหญ่ของสภาชุดที่ว่านี้มันเคยผ่านเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ซึ่งเป็นเหตุการณ์สำคัญที่นักเรียนนิสิตนักศึกษาลุกขึ้นสู้กับเผด็จการทหารที่ครองอำนาจมายาวนานตั้งแต่ที่ยึดอำนาจไปจาก จอมพล ป. พิบูลสงคราม
ใครเลยจะเชื่อว่า คนที่เคยเป็นพลังอันบริสุทธิ์ มีความคิดก้าวหน้า ที่ต่อสู้เพื่อให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย มันจะขายตัวขายวิญญาณ เป็นขี้ข้าของคนที่มันโกงชาติโกงเมืองทั้งพี่ทั้งน้อง
จะให้คณะราษฎรมารับผิดชอบถึงคนพวกนี้ออกจะมากไปหน่อย !
หนทางข้างหน้าของเราคือ มองความเป็นจริง ศึกษาปัญหาบ้านเมืองให้กระจ่าง ให้เข้าใจ “สุ จิ ปุ ลิ “ จริงจัง. มิใช่ฟังเขาเล่ามา ได้ยินมา แต่เอาเข้าจริงไม่มีหลักฐาน หรือขาดตรรกะ
อยากเห็นบ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย ก็ต้องเดินไปสู่ประชาธิปไตย ด้วยการส่งเสริมคนดี คนมีความรู้ มีความสามารถเข้าสภา ต้องถ่มถุย คนเลวคนชั่วไม่ให้มันมีที่ยืน มิใช่เลือกใครก็ได้ มันก็โกงเหมือนกัน เลือกไอ้นี่ มันยังแบ่งเราบ้าง ให้เราบ้าง หรือเพราะมันเคยเป็นพวกเรา
ต้องดูกำพืดมันด้วยว่าตอนนี้มันเป็นยังไง
สำเริง คำพะอุ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี