คดี นายวรยุทธ อยู่วิทยา ไปถึงไหนแล้ว ?
คดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา ขับรถชนดาบตำรวจตาย เป็นข่าวอึกทึกครึกโครมเมื่อปี 2555 จนป่านนี้คดีก็ยังเหมือนเดิม เหมือนเดิมคือ ไม่สามารถเอาผู้กระทำความผิดมาลงโทษได้ ทั้งที่เป็นคดีง่ายๆ ธรรมดาๆ
ที่ไม่ธรรมดาคือ ผู้ต้องหาเป็นทายาทอัครมหาเศรษฐี ที่ไม่ต้องการที่จะถูกลงโทษแม้สักนาทีเดียว จนทำให้สังคมต้องพูดกันว่า “คุกเอาไว้ขังคนจน” ซึ่งเป็นประโยคที่แสลงใจผู้คนในขบวนการยุติธรรมนัก
ตำรวจถึงกับออกมาขอร้องว่า ขออย่าได้ใช้คำพูดประโยคนี้เลย เมื่อสักสัปดาห์ก่อน
สัปดาห์ที่อัยการสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ ทุกข้อหา จนเป็นเรื่องเป็นราวกันขึ้นมา
สรุปว่าจะฟ้อง หรือไม่ฟ้อง นายวรยุทธ อยู่วิทยา ?
ขณะนี้คิดว่า อยู่ระหว่างหาข้อสรุป ว่าจะเอาอย่างไร จะทำอย่างไร
เมื่อ รองอัยการสูงสุด ทำหน้าที่แทน อัยการสูงสุด จนกระทั่งประชาชนทั้งหลายทั้งปวงทนไม่ได้ และรัฐบาลเองก็ทนไม่ได้ ทำให้ 2 หน่วยงานที่รับผิดชอบ คือ ตำรวจ และอัยการ ต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวน
คณะกรรมการของตำรวจ แถลงออกมาว่าทำตามขั้นตอน และคดีจบแล้ว เมื่ออัยการสั่งไม่ฟ้อง และตำรวจเห็นชอบด้วย
ส่วนคณะกรรมการที่ อัยการแต่งตั้ง เห็นว่า รองอัยการสูงสุดสั่งคดีไปนั้นชอบแล้ว สำนวนมายังไง อัยการก็พิจารณาไปตามนั้น
ยังเหลือคณะกรรมการอีกชุดที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีแต่งตั้ง มีนายวิชา มหาคุณ เป็นประธาน ยังคงเดินหน้าต่อไปในการสอบสวนหาข้อเท็จจริง
ข่าวว่า รองอัยการสูงสุดที่สั่งคดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา ลาออก ผลจะเป็นอย่างไร ?
ข้าราชการลาออก ก็เป็นเรื่องปกติ เป็นเรื่องธรรมดา ที่ผู้บังคับบัญชาจะพิจารณา อนุมัติใบลา หรือไม่อย่างไร
แต่โดยปกติ ข้าราชการที่มีความผิด (เอาเฉพาะที่สงสัยว่ามีความผิดนะครับ) ลาออกก็ไม่อาจจะพ้นความผิดได้ ยังจะต้องมีการสืบสวนสอบสวนความผิด ไม่ว่าจะเป็นวินัย หรืออาญา
สำหรับกรณี รอง อสส รายนี้มีรายงานข่าวว่า อัยการสูงสุดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนแล้ว
คดีนายวรยุทธ จะเป็นอย่างไรต่อไป ?
ข้างฝ่ายอัยการเองก็ยังเห็นแย้งกันอยู่ คณะกรรมการที่สำนักงานอัยการแต่งตั้งขึ้นมาพิจารณาบอกว่า รองอัยการสูงสุดที่สั่งคดีทำถูกต้องแล้ว
ในขณะที่ ประธานคณะกรรมการอัยการ (ก. อ. ) นายอรรถพล ใหญ่สว่าง. ซึ่งเคยเป็นอัยการสูงสุดมาแล้ว มีความเห็นว่า รอง อสส. ที่สั่งคดี นายวรยุทธ สั่งคดี ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
เป็นความเห็นเดียวกับนายคณิต ณ นคร อดีตอัยการสูงสุด แสดงความเห็นออกมาชัดเจนว่า รองอัยการสูงสุด สั่งคดีไม่ชอบด้วยกฎหมาย เช่นกัน
จะต้องรื้อฟื้นคดีมาฟ้องใหม่ ตามหลักฐาน พยานใหม่หรือไม่ ?
จริงๆแล้ว ไม่มีหลักฐานใหม่อันใด
กรณีที่ว่า นายวรยุทธ์ มีสารโคเคนในร่างกาย ตามที่แพทย์โรงพยาบาลรามาธิบดี รายงานมานั้นก็เป็นที่รู้กันทั่วบ้านทั่วเมือง เพียงแต่ตำรวจสะเพร่า เผลอเรอไม่ใส่ไปในแฟ้มสำนวนส่วนอัยการที่พิจารณาคดีท่านก็ไม่มีความรู้รอบตัว ท่านก็บอกว่า พิจารณาเฉพาะในสำนวน นอกสำนวนไม่เกี่ยว
คือท่านไม่สงสัย ไม่คิดจะคานอำนาจ ไม่คิดจะตรวจสอบ
ส่วนเรื่องความเร็วของรถก็ไม่ใช่เรื่องใหม่. 177 กม/ ชม. นั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจ และ อาจารย์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ท่านทำไว้แล้ว พิสูจน์ไว้แล้ว
แต่ตำรวจ / อัยการในคดีนี้ เลือกที่จะเชื่อพยานที่เพิ่งโผล่หลังเกิดเหตุหลายปีหนึ่ง และเลือกที่จะเชื่อนักวิชาการที่บอกว่า คำนวณจากสมมุติฐานของตัวเอง ได้แค่ 70 กม /ชม
เอาหลักฐานอย่างนี้ไปฟ้องใหม่ก็หวานทนายฝ่ายจำเลยซีครับ !
แล้วจะดำเนินคดีนายวรยุทธ ได้หรือไม่ ?
ถึงตอนนี้ นายวรยุทธ น่าจะไม่สนใจ ไม่เดือดร้อน เพราะหนีไปจนหมดอายุความแล้วหลายข้อหา จะต้องหนีเพิ่มไปอีกสักหน่อยก็ไม่น่าจะมีปัญหา
ที่เป็นปัญหาอยู่ทุกวันนี้ก็คือ คนอยู่ข้างหลังใน 2 สำนักงาน คือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานอัยการ
คดีรถชนคนตายวันๆมีเป็นสิบ ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา มีอุบัติเหตุบนถนนทำให้คนตายไปแล้ว 9 พันราย ต้องมีคดี เป็นร้อย เป็นพันคดี
มีคดีไหนที่ค้าสำนวนกันได้
มีคดีไหนที่อืดอาดยืดยาดได้ขนาดนี้
มีคดีไหนที่สองหน่วยงานเอาใจใส่ให้ความเป็นธรรมได้ขนาดนี้
มีคดีไหนที่ลืมประเด็นสำคัญได้ขนาดนี้
ฯลฯ
แล้วจะไม่ให้ประชาชนสงสัยได้อย่างไร
“คุกเอาไว้ขังคนจน”
สำเริง คำพะอุ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี