การชุมนุมเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มนักศึกษา ที่เริ่มจากข้อเรียกร้องต่อรัฐบาล 3 ข้อ ของกลุ่มเยาวชนปลดแอกเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2563 ต่อไปยังการเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์อีก 10 ข้อ ของแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2563 และสุดท้ายมาถึงการทวงอำนาจคืนราษฎร ของแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ซึ่งนัดหมายไปชุมนุมใหญ่กันที่มหาวิทยาลัยธรรมศาตร์ ท่าพระจันทร์ ในวันที่ 19 กันยายน 2563 โดยใช้ชื่อการชุมนุมว่า “19 กันยา ทวงอำนาจคืนราษฎร” นั้น
กำลังเป็นที่จับตาอย่างใจจดใจจ่อของทุกฝ่ายว่าสถานการณ์จะออกมาอย่างไร จะมีการปะทะกันไหมเมื่อมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ประกาศไม่อนุญาตให้แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมใช้พื้นที่ในมหาวิทยาลัยจัดการชุมนุม แต่ทางแนวร่วมฯ ยืนยันว่าจะยังคงใช้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จัดการชุมนุมอย่างแน่นอน
ขณะเดียวกัน นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม แกนนำกลุ่มไทยภักดี ก็ออกมาล่ารายชื่อคนเพื่อคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก่อนจะถึงวันที่ 19 กันยายน ก็ยังรู้ว่าจะมีกลุ่มไหนออกมาเคลื่อนไหวอีก สถานการณ์จะพัฒนาไปอย่างไรต้องจับตาดูวันต่อวัน ท่ามกลางข่าวลือรัฐประหารที่ออกมาเป็นระยะๆ
ผมเคยเขียนไว้ที่นี่ เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาว่า การเคลื่อนไหวทางการเมืองของเยาวชนเป็นสิทธิและเสรีภาพ ปิดกั้นไม่ได้ ทั้งไม่ควรปิดกั้น แต่การแสดงออกอย่างก้าวร้าวและเกินเลยของพวกเขาในวันนี้ เป็นสิ่งที่พวกเขาจะมองเห็นและต้องยอมรับกับมันในวันหน้า
เยาวชนนักศึกษาที่เคลื่อนไหวในวันนี้ มีส่วนที่เหมือนกับเยาวชนนักศึกษาที่เคยเคลื่อนไหวในอดีตสมัย 14 ตุลา และ 6 ตุลา ตรงที่มีความมุ่งมั่นและร้อนแรง เชื่อมั่นและไม่กลัวตาย รังเกียจและคัดค้านระบอบเผด็จการ ด้วยเหตุนี้ การที่จะหวังเอาคุกตะรางมาข่มขู่ เอามวลชนจัดตั้งมาปะทะมาฆ่าฟัน คงจะไม่สามารถหยุดยั้งพวกเขาได้ อาจเอาชนะได้ทางกายภาพ แต่ไม่สามารถเอาชนะทางรูปการจิตสำนึก เหมือนที่ไม่สามารถเอาชนะทางรูปการจิตสำนึกต่อนักศึกษาประชาชนสมัย 6 ตุลา แม้จะลงทุนเข่นฆ่าประชาชนอย่างโหดเหี้ยมทารุณเป็นประวัติการณ์มาแล้ว
อย่างไรก็ดีนักศึกษาที่เคลื่อนไหวทางการเมืองในวันนี้ มีส่วนที่แตกต่างจากนักศึกษาที่เคลื่อนไหวทางการเมืองในอดีตสมัย 14 ตุลา และ 6 ตุลาอย่างมีนัยสำคัญหลายประการ
ประการแรก การเคลื่อนไหวของนักศึกษาในอดีตระมัดระวังที่จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับนักการเมืองและพรรคการเมืองเป็นอย่างยิ่ง นักการเมืองบางคนมายื่นเงินให้ค่ารถเวลาไปทำกิจกรรมก็ไม่รับ พรรคการเมืองบางพรรคมาชวนให้เข้าเป็นสมาชิกพรรคก็ปฏิเสธ ค่านิยมนักศึกษาในยุคนั้นคือไม่รับใช้ ไม่ข้องเกี่ยวกับนักการเมืองและพรรคการเมือง บนเวทีการต่อสู้ของนักศึกษายุคนั้นไม่มีนักการเมืองแม้สักคนขึ้นมาอภิปราย ต่างกับการเคลื่อนไหวของนักศึกษาวันนี้ที่มีนักการเมืองอดีตพรรคอนาคตใหม่ขึ้นมาอภิปรายบนเวที มีการติดต่อขอเงินสนับสนุนการจัดชุมนุมจากพรรคเพื่อไทยตามที่ ส.ส. และแกนนำพรรคเพื่อไทยบางคนออกมาให้ข่าวว่าได้รับการติดต่อขอเงินสนับสนุนจากแกนนำนักศึกษาที่จัดการชุมนุม แต่พวกตนปฏิเสธไป ที่สำคัญการเคลื่อนไหวของนักศึกษาวันนี้ ไม่เคยต่อต้านคัดค้านกลุ่มการเมืองที่คอร์รัปชันโกงกินที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล
ประการต่อมา การเคลื่อนไหวของนักศึกษาในอดีตระมัดระวังที่จะไม่ให้ต่างชาติเข้ามาจุ้นจ้านแทรกแซง ใครที่มีพฤติกรรมไม่น่าไว้วางใจ หรือที่ถูกสงสัยว่าอาจเป็นสายของ ซี.ไอ.เอ. จะถูกรังเกียจและไม่มีใครยอมให้เข้าร่วมกิจกรรมและการประชุม ต่างกับการเคลื่อนไหวของนักศึกษาวันนี้ที่มีการขอความช่วยเหลือจากต่างชาติ โดยเฉพาะจากสหรัฐอเมริกา และองค์การระหว่างประเทศบางองค์การอย่างเปิดเผย
อีกประการหนึ่ง การเคลื่อนไหวของนักศึกษาในอดีตอยู่ในยุคที่อิทธิพลความคิดแบบสังคมนิยมเผยแพร่เข้ามาในสถาบันการศึกษาและในสังคมอย่างกว้างขวาง ความคิดและยุทธวิธีการต่อสู้ในเมืองที่เป็นประโยชน์ได้รับการถ่ายทอดเข้ามาในขบวนการต่อสู้ของนักศึกษา เป็นต้นว่า การเคลื่อนไหวจะต้อง “มีเหตุผล ได้ประโยชน์ และรู้ประมาณ” การเคลื่อนไหวที่แม้มีเหตุผล ได้ประโยชน์ แต่สังคมยังรับไม่ได้ก็จะไม่เคลื่อนไหว เพราะเป็นการเกินประมาณไป การเคลื่อนไหวแบบสุ่มเสี่ยงเอียงซ้ายในยุคนั้นจึงเกิดขึ้นไม่มากนัก แต่กระนั้นก็ยังถูกอิทธิพลขวาจัดที่กุมอำนาจรัฐปราบปรามอย่างโหดร้ายทารุณ ครั้นหันมาดูการเคลื่อนไหวของนักศึกษาในวันนี้ที่มีแต่ความห้าว โดยไม่คิดว่าฝ่ายตรงข้ามเขาจะปล่อยให้ตนห้าวต่อไปเรื่อยๆ ไหม จึงน่าเป็นห่วงว่าสถานการณ์จะออกมาอย่างไร ขบวนนักศึกษาจะรับมืออย่างไร และสังคมโดยรวมจะได้รับผลกระทบมากแค่ไหน
ประการสุดท้าย การเคลื่อนไหวของนักศึกษาในอดีตให้ความเคารพและศึกษาบทเรียนการต่อสู้ของคนรุ่นก่อน ไม่ก้าวร้าว ไม่หยาบคาย ต่างกับแกนนำการเคลื่อนไหวของนักศึกษาในวันนี้ที่พร้อมจะเป็นศัตรูกับทุกคนที่ออกมาทักท้วงหรือให้สติตน แม้คนคนนั้นจะเคยมีอดีตเป็นที่ประจักษ์ว่าต่อสู้เพื่อประเทศชาติและประชาชนมาโดยตลอด
ผมเคยเสนอให้ทุกฝ่ายตั้งสติ ถอยออกมามองให้รอบคอบ แล้วจับเข่าคุยกันโดยหยิบเรื่องที่ตกลงกันได้มาแก้ไขกันก่อน โดยยึดผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นที่ตั้ง แต่วันนี้คงเป็นไปไม่ได้แล้ว
อะไรจะเกิดต่อจากนี้ ต้องมีผู้รับผิดชอบ บ้านเมืองก็เป็นของประชาชนคนอย่างเราๆ เหมือนกัน ถ้ามีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นกับบ้านเมือง ไม่ว่าจะมาจากฝ่ายไหน ประชาชนอย่างเราก็จะไม่ทนเหมือนกัน
ณรงค์ฤทธิ์ ศรีรัตโนภาส
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี