วันนี้ขอลืมเรื่องอันน่าเบื่อของการเคลื่อนไหวทางการเมืองในยุคปัจจุบัน มาคุยเรื่องน่าคิดเกี่ยวกับ “New Normal” กันดีกว่า
สังคมไทยรู้จักคำว่า “New Normal” ภายหลังการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Covid – 19 ได้ไม่นาน และปัจจุบันคำนี้ก็ถูกนำมาใช้กันทั่วไป จนบ่อยครั้งพร่ำเพรื่อ เหมือนที่ในอดีตไม่นาน คำว่า 4.0 เคยถูกนำมาใช้กันจนเกร่อ
ราชบัณฑิตยสภา บัญญัติศัพท์ของคำว่า “New Normal” เป็นภาษาไทยว่า “ความปกติใหม่” หรือ “ฐานวิถีชีวิตใหม่”
รองศาสตราจารย์ มาลี บุญศิริพันธ์ กรรมการบัญญัติศัพท์นิเทศศาสตร์ ราชบัณฑิตยสภา อธิบายเพิ่มเติมว่า New Normal หมายถึง ความปกติใหม่, ฐานวิถีชีวิตใหม่ หมายถึงรูปแบบการดำเนินชีวิตอย่างใหม่ที่แตกต่างจากอดีตอันเนื่องจากมีบางสิ่งมากระทบ จนแบบแผนและแนวทางปฏิบัติที่คนในสังคมคุ้นเคยอย่างเป็นปกติและเคยคาดหมายล่วงหน้าได้ต้องเปลี่ยนแปลงไปสู่วิถีใหม่ภายใต้หลักมาตรฐานใหม่ที่ไม่คุ้นเคย
รูปแบบวิถีชีวิตใหม่นี้ ประกอบด้วยวิธีคิด วิธีเรียนรู้ วิธีสื่อสาร วิธีปฏิบัติและการจัดการ การใช้ชีวิตแบบใหม่เกิดขึ้นหลังจากเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงและรุนแรงอย่างใดอย่างหนึ่ง ทำให้มนุษย์ต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับสถานการณ์ปัจจุบันมากกว่าจะธำรงรักษาวิถีดั้งเดิมหรือหวนหาถึงอดีต
ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ปรากฏการณ์ที่นำไปสู่ภาวะ New Normal เกิดขึ้นหลายครั้ง ในยุคที่มนุษย์เริ่มรู้จักการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์หลังจากที่เคยดำรงชีวิตด้วยการล่าสัตว์เพียงอย่างเดียว ทำให้ระบอบมารดาเป็นใหญ่ที่เพศหญิงมีอำนาจเหนือกว่าได้เข้ามาแทนที่ความสัมพันธ์แบบบุพกาลที่เพศชาย - หญิงเท่าเทียมกัน เนื่องจากผู้หญิงทำหน้าที่เพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์จึงเป็นผู้ครอบครองทรัพย์สินของครอบครัวเป็นหลัก ยุคมารดาเป็นใหญ่ถือเป็น New Normal ยุคแรกๆ ในสังคมมนุษย์ก่อนที่ยุคชายเป็นใหญ่จะตามมาในภายหลัง การกำเนิดรัฐ การเปลี่ยนผ่านจากสังคมบุพกาลไปสู่สังคมทาส สังคมศักดินา สังคมทุนนิยม ล้วนเป็น New Normal ทางสังคม เป็น New Normal ที่มองผ่านมุมมองทางเศรษฐศาสตร์การเมืองทั้งสิ้น
กล่าวกันว่า New Normal เป็นคำศัพท์ที่มีการนำมาใช้เป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 2008 โดย Bill Gross นักลงทุนในตราสารหนี้ชื่อดัง และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Pacific Investment Management (PIMCO) โดยได้นิยาม New Normal ในบริบทเศรษฐกิจโลกเอาไว้ว่า เป็นสภาวะที่เศรษฐกิจโลกมีอัตราการเติบโตชะลอตัวลงจากในอดีต และเข้าสู่อัตราการเติบโตเฉลี่ยระดับใหม่ที่ต่ำกว่าเดิม ควบคู่ไปกับอัตราการว่างงานที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังเกิดวิกฤติทางการเงินในสหรัฐฯ อีกทั้งความผันผวนทางเศรษฐกิจจะไม่ได้เป็นไปตามวัฏจักรเศรษฐกิจเดิมแบบที่ผ่านมา เนื่องจากปัจจัยต่างๆ ที่เป็นตัวกำหนดการเติบโตทางเศรษฐกิจมีรูปแบบที่เปลี่ยนแปลงไปหรือส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในลักษณะที่แตกต่างจากในอดีต
แนวคิดและคำอธิบายเรื่อง New Normal ในบริบทเศรษฐกิจโลกของ Bill Gross ตั้งอยู่บนฐานความคิดที่ถือเอาสหรัฐอเมริกาและโลกตะวันตกเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจโลก
ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์ อดีตเลขาธิการการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (UNCTAD) และอดีตผู้อำนวยการใหญ่องค์การการค้าโลก (WTO) เห็นแย้งเพราะไม่เชื่อว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่ลดลงหลังวิกฤติเศรษฐกิจในปี ค.ศ.2007 - 2008 จะเป็น New Normal โดยให้เหตุผลว่า ปัจจุบัน ตะวันตกค่อยๆ ถอยลงไป เป็นการทรุดลงของตะวันตก โลกจะเคลื่อนไหวจากผลประโยชน์ของตะวันตกอย่างเดียว มาเป็นเฉลี่ยทั่วโลกมากขึ้น มาตะวันออกมากขึ้น โดยเฉพาะเอเชียจะเป็นผู้นำต่อไป และประเทศกำลังพัฒนา ประเทศยากจน จะได้ประโยชน์ด้วย โลกาภิวัตน์จะเปลี่ยนแปลงจาก unipolar world ที่มีนักเลงโตคนเดียวคุมระบบโลก อเมริกาอ่อนแรง กลายเป็นระบบ multipolar world ดร.ศุภชัย เห็นว่าวิกฤติเศรษฐกิจ ค.ศ.2007 - 2008 ไม่มี New Normal และเราไม่ต้องการ New Normal เราไม่ต้องการโตธรรมดา เราต้องการโตแบบ Inclusive ต้องการให้คนข้างล่างโตแบบที่ U.N. ใส่ลงไปใน SDGs (เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน - Sustainable Development Goals) ว่าข้างล่างจะโตกี่เปอร์เซ็นต์ การใช้ New Normal เหมือนเราหลอกตัวเองว่าเวลานี้เราทำดีขึ้นแล้ว
จากที่กล่าวมาข้างต้น การมองว่าอะไรคือ New Normal อะไรไม่ใช่ New Normal จึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ถ้ามองผิด สรุปผิด ก็จะหลงทิศผิดทางไปด้วย
New Normal หมายถึง ความปกติใหม่ หรือ รูปแบบวิธีคิด วิธีปฏิบัติใหม่ ที่อุบัติขึ้นมาแทนที่รูปแบบวิธีคิด วิธีปฏิบัติเก่า ตามบริบทต่างๆ ที่อธิบายไว้แล้วข้างต้น ความปกติใหม่นี้มิได้ดำรงอยู่ชั่วคราวในระยะเวลาสั้นๆ หากจะดำรงอยู่ในห้วงเวลาที่ยาวนานหนึ่ง กระทั่งเป็นยุคหนึ่ง หรือสมัยหนึ่ง
ตรงกันข้าม หาก “สิ่งที่เรียกว่า New Normal หรือ ความปกติใหม่” นั้น เกิดขึ้นเพื่อให้สอดคล้องหรือรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปในระยะเวลาชั่วคราว หรือในชั่วระยะเวลาที่แน่นอนหนึ่ง เราไม่ควรจะเรียกสิ่งนั้นว่า New Normal หากควรเรียกว่า Provisional Normal หรือ ความปกติชั่วคราวที่มีเงื่อนไข หากการเปลี่ยนแปลงหรือสถานการณ์ที่ทำให้มนุษย์ต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปนั้นสิ้นสุดลง แบบวิธีคิด วิธีปฏิบัติ หรือแบบวิถีชีวิตที่ปรับเปลี่ยนไปนั้น ก็ควรต้องยุติ และหันกลับมาสู่แบบวิถีชีวิตเดิมอันเป็นปกติวิสัยที่ควรเป็น
ในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19 คนไทยเราถูกสอนให้ตั้งการ์ดสูง ให้ล้างมือบ่อยๆ ให้เว้นระยะห่างทางสังคม และให้สวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัย ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกต้อง และด้วยการทำงานหนักและอุทิศตนของบุคลากรทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องในทุกระดับบวกกับความมีวินัยทางสาธารณสุขอันยอดเยี่ยมของคนไทยเรา ทำให้ประเทศเรามีผู้ป่วยติดเชื้อไวรัส Covid-19 น้อยมาก จัดอยู่ในอันดับต้นๆ ของโลกที่ประสบผลสำเร็จในการรับมือกับเชื้อไวรัส Covid-19
อย่างไรก็ดี การเว้นระยะห่างทางสังคม และการสวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัย ซึ่งมีบุคลากรทางการแพทย์บางท่านเคยออกมากล่าวว่าจะเป็น New Normal ของสังคม บางท่านถึงกับกล่าวว่า หน้ากากผ้าจะเป็นเหมือนปัจจัยสี่ หรือเป็นเหมือนส่วนหนึ่งของเครื่องแต่งกายที่มนุษย์ขาดไม่ได้นั้น น่าจะไม่เป็นความจริง เพราะการเว้นระยะห่างทางสังคมก็ดี การสวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยก็ดี ล้วนเป็น Provisional Normal หรือ ความปกติชั่วคราวที่มีเงื่อนไข เมื่อเงื่อนไขหมดไป แบบวิถีปฏิบัตินั้นก็ไม่จำเป็น มนุษย์เป็นสัตว์สังคม และคนเราก็ควรสูดอากาศบริสุทธิ์จากปลายจมูกเข้าสู่ปอดโดยไม่ต้องผ่านเศษผ้าหรือเส้นใยพลาสติก ด้วยเหตุนี้ เมื่อการแพร่ระบาดของโรคติดต่อหมดไป หรือเมื่อมิได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่อากาศเป็นพิษ การเรียกร้องให้เว้นระยะห่างทางสังคม หรือให้สวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัย ซึ่งเป็น Provisional Normal หรือ ความปกติชั่วคราวที่มีเงื่อนไข ก็จะกลายเป็น Abnormal หรือ ความผิดปกติ ไปทันที
อะไรที่เป็นเพียง Provisional Normal หรือ ความปกติชั่วคราวที่มีเงื่อนไข เมื่อเงื่อนไขนั้น หรือสถานการณ์นั้นผ่านไป คนเราก็ควรกลับมาสู่ความเป็นปกติตามเดิม หรือที่เรียกว่า As Usual มิใช่จะยังคงยืนกรานประพฤติปฏิบัติอยู่อย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งจะกลายเป็น ความผิดปกติ หรือ Abnormal ไป
ลองนึกดูสิว่า จะน่าเศร้าแค่ไหน ถ้าในภาวะปกติที่ไม่มีโรคระบาด ไม่มีภาวะอากาศเป็นพิษ แต่คนเราต้องนั่งห่างกันเก้าอี้เว้นเก้าอี้ ยืนฉี่โถเว้นโถ เพื่อนฝูงจะแตะเนื้อต้องตัวกันไม่ได้ และต้องสวมหน้ากากเข้าหากัน ราวกับว่าทุกวันนี้ คนเรายังสวมหน้ากากเข้าหากันไม่พอ
ณรงค์ฤทธิ์ ศรีรัตโนภาส
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี