ฝรั่งมีคำกล่าวอยู่คำหนึ่งว่า “tax person always wins” แปลแบบบ้านๆ ให้ชาวบ้านเข้าใจคือ “สรรพากรชนะเสมอ”
ประชาชนเสียภาษีช้าวันเดียวก็เสียค่าปรับ แต่สรรพากรคืนภาษีช้าสองปี ไม่เคยจ่ายดอกเบี้ยให้ผู้เสียภาษี
ประชาชนถูกกำหนดให้ต้องยื่นแบบภาษีภายในวันนั้นเดือนนั้น แต่สรรพากรจะตรวจสอบแบบภาษีที่ยื่นไปเมื่อไร จะทำเสร็จเมื่อไร ไม่เคยมีกำหนดไว้
ความจริงไม่เพียงแต่สรรพากรเท่านั้นที่ชนะเสมอ หน่วยงานภาครัฐส่วนใหญ่ที่ทำนิติกรรมกับประชาชนก็ชนะเสมอเหมือนกัน
ประกันสังคมเป็นอีกหน่วยราชการหนึ่งที่ชนะเสมอ
ในช่วงก่อตั้งสำนักงานใหม่ๆ หรือช่วงทศวรรษ 2530 ถึงทศวรรษ 2540 สำนักงานประกันสังคมยังมีสมาชิกไม่มาก ก็ไล่เกณฑ์ผู้คนมาเข้าระบบประกันสังคม ผมเองตอนนั้นมีคณะบุคคลอยู่คณะหนึ่งรับจ้างจัดฝึกอบรมให้กับองค์กรต่างๆ ได้นำพนักงานในคณะบุคคลเข้าสู่ระบบประกันสังคม เจ้าหน้าที่ประกันสังคมแจ้งว่าตัวผมเองซึ่งเป็นนายจ้างและผู้ก่อตั้งคณะบุคคลก็ต้องเข้าระบบประกันสังคมด้วย
ผมก็ปฏิบัติตาม และสมัครเข้าเป็นสมาชิกประกันสังคมตามมาตรา 33
อีกประมาณ 10 ปีต่อมา คือราวทศวรรษ 2550 ทางการมีนโยบายให้ผู้ประกอบการรายย่อยจัดตั้งบริษัทจำกัด แทนการตั้งคณะบุคคล เนื่องจากขณะนั้นมีบุคคลบางอาชีพใช้วิธีการจัดตั้งคณะบุคคลขึ้นมาคนละหลายๆ คณะ เพื่อกระจายรายได้ตัวเองออกมาเป็นฐานการเสียภาษีย่อยๆ ทำให้เสียภาษีน้อยลงกว่าที่ควรจะเป็น
ผมเองแม้มิได้เป็นบุคคลในอาชีพดังกล่าว แต่ก็ให้ความร่วมมือด้วยการยุติรับงานในนามคณะบุคคล และตั้งบริษัทจำกัดขึ้นมารับงานแทน
ผมได้ไปปรึกษาเจ้าหน้าที่สำนักงานประกันสังคม และได้รับคำแนะนำให้ผมและพนักงานลาออกจากคณะบุคคลเดิม แล้วมาสมัครประกันสังคมในฐานะลูกจ้างบริษัทจำกัดที่ผมตั้งขึ้น
ซึ่งผมก็ปฏิบัติตาม
แต่แล้วเจ้าหน้าที่ประกันสังคมกลับบอกว่า ผมต้องลาออกจากการเป็นสมาชิกประกันสังคม เพราะผมเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท ถือว่าเป็นนายจ้าง เข้าประกันสังคมไม่ได้ ส่วนพนักงานของผมที่โอนมาจากคณะบุคคล โอนมาเป็นสมาชิกประกันสังคมในฐานะลูกจ้างบริษัทใหม่ได้
ผมแม้มีความคิดขัดแย้งอยู่ว่า ทำไมตอนผมเป็นผู้ก่อตั้งและเป็นนายจ้างในนามคณะบุคคล สำนักงานประกันสังคมยังต้อนผมเข้ามาอยู่ในระบบประกันสังคม บังคับให้ผมส่งเบี้ยประกันเป็นสมาชิกมาตรา 33 อยู่เป็นสิบปี แต่พอตอนนี้ เปลี่ยนมาตั้งบริษัทตามนโยบายภาครัฐ กลับบอกว่าผมเป็นนายจ้าง เข้าประกันสังคมไม่ได้ แม้ทั้งที่เพื่อนผมเป็นกรรมการและเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทมหาชนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ยังเป็นสมาชิกประกันสังคม มาตรา 33 ได้และเป็นมาจนทุกวันนี้
แต่กระนั้น ผมก็ปฏิบัติตาม
ที่ร้ายกว่านี้คือ พนักงานของผมที่เจ้าหน้าที่ประกันสังคมแนะนำให้ลาออกจากคณะบุคคลแล้วโอนมาสมัครเป็นสมาชิกประกันสังคมมาตรา 33 ภายใต้บริษัทจำกัดใหม่ของผม ถูกสำนักงานประกันสังคมปฏิเสธไม่รับเข้าเป็นสมาชิกต่อด้วยเหตุผลว่าพนักงานดังกล่าวอายุเกิน 60 ปี แล้ว สำนักงานประกันสังคมไม่อนุญาตให้สมัครเป็นสมาชิก การปฏิเสธไม่รับนี้ ไม่ได้แจ้งให้ทั้งเจ้าตัวพนักงานและบริษัทที่พนักงานสังกัดอยู่ทราบเลย มิหนำยังหักเงินสมทบจากบัญชีธนาคารของทั้งนายจ้างและลูกจ้างไปทุกเดือนอย่างหน้าเฉยตาเฉย
เรื่องมาแดงขึ้นเมื่อตอนพนักงานของผมไปใช้สิทธิรักษาพยาบาลแล้วถูกทางโรงพยาบาลปฏิเสธโดยแจ้งว่าเขาหมดสภาพการเป็นสมาชิกประกันสังคมตั้งแต่ 6 เดือนที่ผ่านมาแล้ว
ถึงตอนนี้ ผมจึงไม่อาจปฏิบัติตามและยอมรับกับการกระทำของภาครัฐได้อีกต่อไป
ผมดำเนินการต่อสู้ จนในที่สุดสำนักงานประกันสังคมขอประนีประนอม ด้วยการยอมให้พนักงานของผมเป็นสมาชิกประกันสังคมต่อ แต่ขอเปลี่ยนจากสมาชิกมาตรา 33 ที่เป็นอยู่เดิม มาเป็นสมาชิกตามมาตร 39 แทน ส่วนเงินสมทบที่สำนักงานประกันสังคมหักไปตลอดเวลาที่พนักงานของผมถูกเขี่ยออกจากการเป็นสมาชิกนั้น ถ้าจะขอคืนต้องยื่นคำร้องทำเรื่องขึ้นมา ผมจึงต้องยอมยุติการต่อสู้ลงแค่นี้ แม้จะไม่ได้สิ่งที่ควรได้ทั้งหมดกลับคืนมา
ภาครัฐยังคงถูกต้องและชนะเสมอ !
ที่เขียนเล่ามายืดยาว ก็เพื่อจะให้สังคมช่วยกันทบทวนว่า เราควรจะปล่อยให้ ระบบราชการ และการทำงานต่างๆ ของภาครัฐ ไม่ต้องรับผิดชอบ และเป็นฝ่ายถูกตลอดเช่นนี้ต่อไปหรือ ?
เรื่องของยายบวน โล่ห์สุวรรณ แม่เฒ่าวัย 89 ปี ชาวบุรีรัมย์ ที่ถูกกรมบัญชีกลาง มีหนังสือเรียกเก็บเงินเบี้ยผู้สูงอายุคืนรวมดอกเบี้ย เป็นเงินจำนวน 84,000 บาท รวมทั้งพ่อแก่แม่ฒ่ารายอื่นๆ อีกจำนวนมาก ที่ต้องประสบชะตากรรมแบบเดียวกัน เนื่องจากการทำงานที่ไม่ประสานกันเองของหน่วยงานภาครัฐ ปัจจุบันไปถึงไหนแล้ว ?
กรมบัญชีกลาง กับ องค์การบริหารส่วนตำบล และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ไม่มีอะไรต้องรับผิดชอบบ้างเลยหรือ ?
อย่าปล่อยให้เรื่องนี้เงียบหายไป เพราะคนที่จะถูกรังแกคือประชาชนคนยากคนจนทั้งนั้น !
ณรงค์ฤทธิ์ ศรีรัตโนภาส
5 กุมภาพันธ์ 2564
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี