ตั้งแต่มีผู้ป่วยโควิดรายแรกมาจนถึงวันนี้ยาวนานเกินหนึ่งปีแล้ว แต่ชาวโลกยังต้องสู้รบกับไวรัสวายร้ายอยู่ทุกวัน จนยอดป่วยสะสมทั้งโลกพุ่งไปร้อยสิบสี่ล้านกว่าๆ แต่หนักสุดคืออเมริกานี่แหละ ที่ครองแชมป์ยืนหนึ่งมาตลอด รัฐยืนหนึ่งห้าอันดับคือแคลิฟอร์เนีย ฟลอริด้า เท็กซัส นิวยอร์ก และอิลลินอยส์ แม้ยอดป่วยจะเริ่มลดแล้ว แต่ก็ยังนับว่าสูงอยู่นั่นเอง
วันนี้ยอดป่วยสะสมในอเมริกายังสูง แต่มีแนวโน้มว่าจะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น ยอดป่วยสะสมอยู่ที่เกือบสามสิบล้านราย จากพลเมืองสามร้อยล้านราย จำได้ว่าต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2020 มีผู้เสียชีวิตจากโควิดรายแรก เพียงแค่สี่เดือนหลังจากนั้น ยอดเสียชีวิตพุ่งลิ่วสู่แสนรายแรก ต่อมายอดผู้เสียชีวิตแตะระดับสองแสนรายในเดือนกันยายน และสามแสนรายในเดือนธันวาคม
หลายคนอาจจะเบื่อ ที่อ่านเรื่องสถานการณ์โควิด แต่ก็จำเป็นต้องเขียนถึง เพราะอาทิตย์ที่ผ่านมามีการทำพิธีไว้อาลัยอเมริกันที่เสียชีวิตจากโควิด ตามยอดอย่างเป็นทางการคือห้าแสนราย แต่เชื่อว่ายอดเสียชีวิตจริงทะลุเกินห้าแสนมาแล้ว อย่างในบางเวบไซด์ที่ชาวโลกใช้ในการอ้างอิงยอดป่วยโควิ แสดงให้เห็นว่า ยอดตายจากโควิดในอเมริกาคือ ห้าแสนสองหมื่นหกพันกว่าราย ไม่ใช่แค่ห้าแสนรายถ้วนๆ
จำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิดในอเมริกานี่แหละที่กลายเป็นประเด็นพูดคุยกันในอเมริกา เพราะจำนวนนี้มากกว่าผู้ที่เสียชีวิตจากสามสงครามคือ สงครามโลกครั้งที่สอง สงครามเกาหลี และสงครามเวียตนาม คนอเมริกันเสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ 2 รวม 405,000 คน ในสงครามเวียดนาม 58,000 คน และ 36,000 คนในสงครามเกาหลี แต่ดูทรงแล้วสงครามโควิดคงคร่าชีวิตเกินห้าแสนแน่นอน เพราะสงครามไวรัสยังไม่จบลงง่ายๆ
อดนึกไม่ได้ว่าไอ้สงครามทั้งสามที่ว่านี่น่ะ อเมริกาไม่เคยรบบนแผ่นดินของตนเองแม้แต่หนเดียว แต่ส่งทหารไปรบบนแผ่นดินคนอื่นทั้งนั้น ด้วยเหตุนี้คนอเมริกันเลยไม่เคยรู้รสความทุกข์ยากของสงครามอย่างแท้จริง ด้วยเหตุนี้กระมังจึงไม่ยอมอดทนอดกลั้นต่อความยากลำบากทั้งปวง เหมือนเด็กอ้วนเอาแต่ใจ ที่พร้อมจะชักดิ้นชักงอกลางห้างเมื่อไม่สบอารมณ์หรือโดนบังคับ
วกกลับมาถึงประเด็นยอดเสียชีวิตจากโควิด หมอแอนโทนี เฟาซี ประธานที่ปรึกษาด้านการแพทย์ของไบเดนบอกว่า ช่วงกว่าร้อยปีที่ผ่านมา อเมริกาไม่เคยต้องเผชิญสถานการณ์อะไรแบบนี้มาก่อน แม้แต่ไข้หวัดใหญ่สเปนระบาดในปี 1918 ก็ยังน่ากลัวน้อยกว่านี้ เมื่อดูตัวเลขคนป่วยคนตายแล้วเหมือนเรื่องเหลือเชื่อ แต่น่าเศร้าว่านี่คือเรื่องจริงที่เผชิญอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
คนไทยในเมืองไทยนับว่าโชคดีกว่าอเมริกันในเวลานี้ ถึงเมืองไทยจะเกิดการระบาดรอบใหม่ แต่ทีมแพทย์บ้านเรารับมือได้อย่างดี จนสามารถควบคุมยอดผู้ป่วยใหม่ได้ จนสถานการณ์เริ่มกลับเข้าสู่ภาวะเกือบปกติ ซึ่งนี่แตกต่างจากอเมริกาโดยสิ้นเชิง ที่ทุกวันนี้ยังต้องระแวดระวังทุกฝีก้าว คนที่ระวังตัวก็ระแวดระวังกันไป แต่คนอเมริกันส่วนมากยังใช้ชีวิตตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แม้จะใส่หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า แต่ก็ยังทำอย่างเสียไม่ได้กันทั้งนั้น ส่วนเรื่องซื้อข้าวของมาแล้วเช็ดฉีดพ่นสเปรย์ฆ่าเชื้อนั้นไม่มีอยุ่ในหัวเลยด้วยซ้ำ ส่วนมากแล้วซื้อของมาก็หิ้วทุกถุงเข้าบ้านอย่างไม่สนใจทำความสะอาดพื้นผิวแบบที่ควรจะเป็น
อาทิตย์ที่ผ่านมามีการจัดพิธีไว้อาลัยให้แก่ผู้สูญเสียชีวิตจากโควิด ประธานาธิบดีไบเดน สุภาพสตรีหมายเลข 1 จิลล์ รองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส และ ดั๊ก เอ็มฮอฟ สามีของแฮร์ริสร่วมทำพิธีวิจิลเพื่อไว้อาลัยอเมริกันที่เสียชีวิตจากโควิดห้าแสนราย โดยมีการยืนสงบนิ่งเบื้องหน้าเทียน 500 แท่ง หน้าทำเนียบขาว
นอกจากมีการยืนสงบนิ่งเพื่อระลึกถึงผู้จากไปเพราะโควิด ยังมีการลดธงครึ่งเสาทั่วประเทศ รวมทั้งสถานทูตอเมริกาทั่วโลกอีกด้วย หมอเฟาซี่ย้ำว่า การสูญเสียนี้ส่วนหนึ่งมีผลมาจากความแตกแยกภายในของอเมริกา ที่ทำให้การสวมหน้ากากกลายเป็นประเด็นทางการเมือง เพราะตอนแรกระบาดมีความแตกแยกทางการเมืองอย่างหนัก เลยทำให้การสวมหน้ากากป้องกันถูกเบี่ยงประเด็น ให้กลายเป็นเรื่องการแสดงจุดยืนทางการเมืองมากกว่าการทำตามมาตรการสาธารณสุขอย่างที่ควรจะเป็น
จำได้แม่นยำเลยว่าตาลุงผมเป๋ไม่ได้ยี่หระแยแสต่อยอดป่วยหรือตายแต่อย่างใด แถมยังให้สัมภาษณ์อย่างไม่สะทกสะท้านด้วยว่า US Covid-19 death toll, "is what it is.” หรือยอดตายจากโควิดนี่ก็เป็นอย่างที่มันเป็นนั่นแหละ ที่เลวร้ายที่สุดคือไม่ยอมออกมาตรการบังคับให้ประชาชนทั่วประเทศสวมหน้ากากป้องกัน แถมยังกล่าวโทษชาติอื่นและทำเหมือนว่าโควิดไม่ใช่เรื่องร้ายแรง
หมอเฟาซี่ให้สัมภาษณ์ว่า กว่าจะถอดหน้ากากได้เหมือนบ้านอื่นเมืองอื่นคงต้องเป็นปี 2022 โน่นเลย ตอนนี้มีคนอเมริกันแค่ 63 ล้านคนจากสามร้อยล้านที่ได้รับวัคซีน ซึ่งอเมริกาใช้วัคซีนของไฟเซอร์กับโมเดอร์นา แต่ล่าสุดดูเหมือนแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ก็เริ่มเรืองรองขึ้นมาอีกนิด เมื่อจอห์นสันแอนด์จอนห์นสันประกาศข่าวดี
ข่าวดีที่ว่าคือ วัคซีนของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน มีประสิทธิภาพในการต่อต้านอาการป่วยรุนแรงจากไวรัสโคโรนาถึง 85.9% ในอเมริกา, 81.7% ในแอฟริกาใต้ และ 87.6% ในบราซิล แต่ที่เริ่ดกว่านั้นคือฉีดแค่เข็มเดียว จึงเป็นเรื่องน่าดีใจสำหรับคนกลัวเข็มฉีดยา เพราะทนเจ็บแค่ครั้งเดียวเอง
ดีงามพระรามเก้า เหมือนพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยจริงๆ วัคซีนจอห์นสันแอนด์จอห์นสันจัดเก็บไม่ยุ่งยาก สามารถจัดเก็บไว้ในตูุ้เย็นธรรมดาทั่วไป ต่างจากวัคซีนของไฟเซอร์และโมเดอร์นา ซึ่งต้องเก็บรักษาในอุณหภูมิเย็นจัด ที่เจ๋งสุดๆคือ ฉีดแล้วไม่มีอาการแพ้รุนแรงเหมือนไฟเซอร์และโมเดอร์นา แถมยังไม่มีใครตายอีกด้วย เมื่อได้รับการอนุมัติแล้วก็จะเป็นวัคซีนชนิดที่สามที่สามารถใช้ในอเมริกาได้
คงต้องรอตามผลกันต่อว่าหลังการอนุมัติให้ใช้ในอเมริกาแล้ว ยอดป่วยยอดตายจะลดลงหรือไม่อย่างไร แม้ว่าตอนนี้ยอดป่วยยอดตายจะเริ่มลดลงแล้ว แต่ก็ยังไว้วางใจไม่ได้ เพราะยอดคนฉัควัคซีนต่อสัดส่วนประชากรยังถือว่าน้อยมาก
ข่าวนี้นับเป็นเรื่องน่าดีใจจริงๆ สำหรับคนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงจนไม่สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติอย่างผู้เขียน ได้แต่รอคอยว่าเมื่อไหร่จะได้ออกไปใช้ชีวิตปกติ โดยไม่ต้องวิตกกังวลว่าจะติดไวรัสหรือไม่ หนึ่งปีนั้นยาวนานเหลือเกินในการกักตัวอยู่บ้าน แต่ยังเชื่อมั่นว่าเมื่อฤดูหนาวอันยาวนานผ่านไป ฤดูใบไม้ผลิจะเริ่มต้น เช่นเดียวกับความหวังของอเมริกันทั้งประเทศที่จะกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี