คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่มีมติเป็นเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 เห็นว่า สมาชิกภาพ ส.ส.และรัฐมนตรี ของ ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า ไม่สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ โดยยก"หลักอธิปไตย" ของประเทศมาเป็นเหตุผลหลักในการวินิจฉัย เนื่องจาก ร.อ. ธรรมนัสต้องคำพิพากษาของศาลในต่างประเทศ ไม่ใช่ศาลไทยหากศาลไทยไปรับเอาคำพิพากษาของศาลต่างประเทศจะทำให้อำนาจอธิปไตยทางศาลของไทยถูกกระทบกระเทือนอย่างมีนัยสำคัญ นั้น
ทำให้ศาลรัฐธรรมนูญกลายเป็นตำบลกระสุนตก ทัวร์ต่าง ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศพร้อมใจกันไปลงที่นั่น
นอกจากการแชร์ภาพและข้อความเสียดสีประชดประชันคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญแล้วนักวิชาการและอาจารย์ทางนิติศาสตร์จำนวนไม่น้อยยังออกมาแสดงความเห็นต่างบ้างก็วิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงบ้างก็นำเอาความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาในอดีตมาเปรียบเทียบ เป็นต้นว่า
ความเห็น เลขเรื่องเสร็จ 276/2525 เรื่องหารือบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ปัญหาการตีความมาตรา 96 (5) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย) คณะกรรมการกฤษฎีกา(กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ 5) มีความเห็นว่า
“บทบัญญัติในมาตรา 96 มิได้ระบุว่า คำพิพากษาหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายให้จำคุกเป็นคำพิพากษาหรือคำสั่งให้จำคุกของศาลในประเทศใด และบุคคลดังกล่าวเป็นบุคคลต้องห้ามมิให้สมัครรับเลือกตั้งผู้แทนราษฎรก็เพราะเห็นว่าเป็นบุคคลที่มีความประพฤติไม่เหมาะสม ถ้าต้องห้ามเฉพาะการกระทำผิดในประเทศไม่เกี่ยวกับการกระทำผิดในต่างประเทศ ก็จะเกิดการลักลั่นไม่เป็นธรรม และขัดกับเหตุผลในกรณีเช่น ความผิดอย่างเดียวกัน มีโทษอย่างเดียวกัน ถ้าทำผิดในประเทศ ต้องห้ามถ้าทำผิดในต่างประเทศไม่ต้องห้าม ฉะนั้น
บุคคลใดเคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายให้จำคุกตั้งแต่สองปีขึ้นไปโดยได้พ้นโทษมายังไม่ถึงห้าปีในวันเลือกตั้งไม่ว่าจะเป็นการถูกจำคุกในประเทศไทยหรือในต่างประเทศก็ต้องถือว่าเป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งตามเจตนารมณ์แห่งมาตรา 96(5) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
”ขณะดียวกัน ฝ่ายที่สนับสนุนคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญก็นำบันทึกอีกฉบับของคณะกรรมการกฤษฎีกามาแย้ง เป็นบันทึก เรื่องการปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์และการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ คณะกรรมการกฤษฎีกา(คณะที่ 2) เรื่องเสร็จที่ 0562/2554
ซึ่งมีความเห็นว่า“การตรากฎหมายหรือกฎเพื่อใช้บังคับภายในประเทศใดย่อมต้องอยู่ในขอบเขตการใช้อำนาจอธิปไตยของรัฐนั้น กรณีที่บทบัญญัติแห่งกฎหมายใดกล่าวถึงคำพิพากษาของศาลย่อมหมายถึงคำพิพากษาของศาลไทยเท่านั้น ไม่อาจตีความให้รวมถึงคำพิพากษาของศาลต่างประเทศได้เพราะจะขัดกับหลักการใช้อำนาจอธิปไตยของรัฐ เว้นแต่หากผู้ตรากฎหมายประสงค์จะยอมรับคำพิพากษาของศาลต่างประเทศให้มีผลต้องอยู่ในบังคับของกฎหมายไทยด้วย ย่อมต้องบัญญัติไว้อย่างชัดเจน
นอกจากนี้โดยที่กฎหมายของแต่ละประเทศอาจกำหนดการกระทำที่เป็นความผิดทางอาญา ประเภทของความผิดองค์ประกอบของความผิด เงื่อนไขการลงโทษ และวิธีพิจารณาคดีอาญาแตกต่างจากกฎหมายไทยหากยอมรับคำพิพากษาของศาลต่างประเทศกระบวนการสอบสวนของพนักงานสอบสวนของต่างประเทศและการดำเนินคดีอาญาในศาลต่างประเทศจะส่งผลให้การบังคับใช้ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์และการเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทั้งสองฉบับเกิดความลักลั่นไม่ได้มาตรฐานเดียวกัน
ดังนั้นกรณีที่บุคคลใดเคยรับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลต่างประเทศจึงไม่ต้องด้วยลักษณะต้องห้ามในการขอรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตามข้อ 10 (3)แห่งระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือกและเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทยฯและกรณีที่บุคคลใดถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดทางอาญาและอยู่ระหว่างสอบสวนของพนักงานสอบสวนของต่างประเทศ หรืออยู่ระหว่างการดำเนินคดีอาญาในศาลต่างประเทศคณะกรรมการพิจารณาการขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไม่อาจมีมติให้รอการขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์สำหรับผู้นั้นตามข้อ 20 (2) แห่งระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือกและเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทยฯ ได้และกรณีที่บุคคลใดเป็นผู้ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกโดยศาลต่างประเทศจึงไม่ต้องด้วยเหตุแห่งการเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตามข้อ 7 (2)แห่งระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ฯ
”ความแตกต่างระหว่าง คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ กับความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา หรือแม้กระทั่งความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาในปีพ.ศ. 2525 ที่ขัดกับปี พ.ศ. 2554 ไม่ใช่เรื่องแปลก หรือ เข้าใจไม่ได้ ในคำพิพากษาศาลฎีกาที่คำพิพากษาครั้งหลังไปเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาครั้งก่อน ที่เรียกกันว่า “ทับฎีกา”ก็มีให้เห็นอยู่เหมือนกัน เพราะการตีความตัวบทกฎหมายนั้น หลายกรณีต้องใช้ดุลพินิจและดุลพินิจของผู้ตีความก็อาจไม่เหมือนกัน (ไม่นับกรณีที่ถูกสั่งให้ต้องตีความ)
สำคัญเพียงว่า คำพิพากษา หรือ คำวินิจฉัย ที่ออกมานั้น บริสุทธิ์ และยุติธรรมมีความเหมาะสม และมีช่องโหว่ให้คนโจมตีหรือไม่เท่านั้น
สาเหตุที่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญครั้งนี้ถูกโจมตีมาก คือการอ้างอำนาจอธิปไตยทางศาลเป็นเหตุผลหลักในการปฏิเสธคำพิพากษาอันถึงที่สุดของศาลต่างประเทศ ในขณะที่นักกฎหมายต่างทราบกันดีว่ารัฐอธิปไตยสามารถยอมรับและบังคับกฎหมายต่างประเทศและคำพิพากษาต่างประเทศได้โดยไม่กระทบกระเทือนต่ออำนาจอธิปไตยของชาติ พระราชบัญญัติว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมายพุทธศักราช 2481 ที่ยอมให้มีการพิสูจน์เพื่อบังคับใช้กฎหมายต่างประเทศและแนวคำพิพากษาของศาลยุติธรรมที่ยอมให้มีการพิสูจน์เพื่อบังคับคำพิพากษาอันถึงที่สุดของศาลต่างประเทศล้วนเป็นเครื่องยืนยันความจริงข้อนี้
การตีความตามตัวอักษรโดยไม่คำนึงถึงเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่ต้องการจะได้บุคคลที่มือสะอาด ปราศจากมลทิน โดยเฉพาะในข้อหาร้ายแรงมาทำหน้าที่ในองค์กรหลักฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ศาลรัฐธรรมนูญถูกวิพากษ์วิจารณ์ เพราะกรณีของ ร.อ. ธรรมนัสเป็นความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ซึ่งเป็น Double Criminality (ความผิดของทั้งสองประเทศ)ที่ไม่ยากในการพิสูจน์องค์ประกอบความผิดว่าตรงกันหรือไม่โดยเฉพาะเมื่อประเทศไทยมีความผูกพัน และพันธกรณีต่อนานาประเทศในการต่อต้านยาเสพติดที่ยอมรับร่วมกันว่าเป็นความผิดร้ายแรงข้ามชาติและเป็นภัยต่อความมั่นคงของมนุษย์
ล่าสุด มีการเปิดเผยจาก ส.ว. คำนูณ สิทธิสมานว่ามีบันทึกที่น่าสนใจของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาซึ่งน่าจะเป็นบันทึกล่าสุดเกี่ยวกับกรณีใกล้เคียงกันนี้อีกฉบับ เป็นบันทึกเรื่องเสร็จที่ 1271/2563เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2563 กรณีนี้เป็นคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกคนไทยของศาลสหรัฐอเมริกาในคดียาเสพติดเมื่อพ้นโทษออกมาแล้ว เขาได้ร้องขอสิทธิประโยชน์จากการถูกสั่งพักราชการจากต้นสังกัดคืนรวมทั้งขอให้เพิกถอนคำสั่งพักราชการต้นสังกัดได้ขอความเห็นมายังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพราะเห็นว่าความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในปี พ.ศ. 2525 และ พ.ศ. 2554 ยังมีความแตกต่างกันความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาในบันทึกฉบับนี้เป็นการประชุมร่วมกันของคณะ 11(ศ. คณิต ณ นคร - ประธาน) กับคณะ 13 (ศ. บวรศักดิ์ อุวรรณโณ - ประธาน)มีความครอบคลุมทางวิชาการ ตัวบทกฎหมายต่าง ๆ ของไทย และข้อตกลงระหว่างประเทศที่มีอยู่สรุปว่า
“คณะกรรมการกฤษฎีกา (ที่ประชุมร่วมกรรมการกฤษฎีกา คณะที่ 11 และคณะที่ 13)จึงมีความเห็นว่า ข้อหารือนี้มิใช่ข้อหารือเกี่ยวกับการดําเนินคดีอาญาแต่เป็นข้อหารือเรื่องวินัยทหารและการพิจารณาให้ความเห็นในกรณีนี้เป็นกรณีที่ใช้ผลของคําพิพากษาของศาลต่างประเทศมารับฟัง เป็นพยานหลักฐานในฐานะข้อเท็จจริงในการดําเนินการทางวินัยกับข้าราชการทหาร ซึ่งเป็นการรับฟังคําพิพากษาของศาลต่างประเทศในฐานะข้อเท็จจริง มิใช่การรับคําพิพากษาของศาลต่างประเทศมาบังคับโทษในประเทศไทย
ดังนั้นข้อความว่า ‘เมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว’ ตามข้อ 77 วรรคสอง แห่งข้อบังคับกระทรวงกลาโหมว่าด้วยการสั่งให้ข้าราชการทหารพักราชการ พ.ศ. 2528จึงรวมถึงคดีถึงที่สุดตามคําพิพากษาของศาลสหรัฐอเมริกาด้วย....”ซึ่งก็หมายความว่า การพิจารณาเรื่องวินัยข้าราชการนั้นสามารถนำผลของคําพิพากษาของศาลต่างประเทศมารับฟังเป็นพยานหลักฐานในฐานะข้อเท็จจริงในการดําเนินการทางวินัยกับข้าราชการในประเทศได้ชั่วโมงนี้ อย่าไปยื่น ป.ป.ช. ให้เสียเวลาเลยครับ เพราะรัฐธรรมนูญ มาตรา 211 วรรคสี่บัญญัติไว้ชัดเจนว่า
“ คําวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาลองค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ”ชั่วโมงนี้ ที่สำคัญกว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ คือ คำวินิจฉัยของพลเอก ประยุทธ์จันทร์โอชา
จนถึงขนาดนี้แล้ว ไม่รู้ว่าท่านจะ GET กับความรู้สึกของสังคมบ้างหรือเปล่า ?
ณรงค์ฤทธิ์ ศรีรัตโนภาส
9 พฤษภาคม 2564
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี