เรื่องวัคซีนสถานการณ์โควิดในเมืองไทยกำลังน่าวิตก แต่สถานการณ์การระบาดในโควิดน่าจะอยู่ในภาวะที่ระบาดน้อยลง เพราะยอดผู้ป่วยใหม่และผู้เสียชีวิตลดน้อยลงมาก ทำให้มวลมหาอเมริกันการ์ดตกโดยทั่วหน้า ช่วงนี้เป็นช่งวฤดูใบไม้ผลิที่ทุกคนจะออกไปใช้ชีวิตกลางแจ้ง เลยยิ่งทำให้คนที่ยังหวาดหวั่นต่อสถานการณ์โควิดยิ่งวิตกหนักเข้าไปอีก เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนเป็นภาพลวงตาผู้คนจะออกมาพบปะเจอะเจอกันมากขึ้น ในขณะที่พลเมืองอเมริกันยังฉีดวัคซีนได้ไม่ถึง 40 เปอร์เซนต์เลยด้วยซ้ำ ข่าวล่าสุดเกี่ยวกับวัคซีนในอเมริกาคือมีการอนุมัติให้ฉีดไฟเซอร์กับเด็กอายุ 12-15 ปีและวัคซีนโมเดอร์น่าได้รับการอนุมัติจากองค์การอนามัยโลก หลังจากฉีดให้คนอเมริกันหลายล้านเข็มไปแล้ว เรียกว่า ใช้ก่อนอนุมัติทีหลัง นั่นแหละ แถมมีลูกแปดีดส่งท้ายว่าคงจะต้องมีการฉีดเข็มที่สามตามมามาดูยอดป่วยสะสมก็ยังอยู่ที่หลักเลข 33 ล้านกว่าๆ ช่วงต้นปีที่ผ่านมาหนักหนากว่านี้มาก ยอดเคยวิ่งพรวดๆ แบบ 3 วันครบหนึ่งล้านมาแล้ว ส่วนยอดเสียชีวิตสะสมคือหกแสนแต่ข่าวหลายสำนักยืนยันว่ายอดจริงนั้นมากกว่านี้ ซึ่งหมอเฟาซี่ก็ออมายอมรับอย่างไม่เต็มปากเต็มคำว่า ประมาณนั้น
ป่วยตายกันขนาดนี้ คนอเมริกันจำนวนมากก็ยังไม่ยอมฉีดวัคซีน หลายรัฐเลยมีแรงจูงใจแจกเบียร์ แจกบัตรมิวเซียม แจกโดนัทแจกตั๋วขึ้นรถใต้ดิน ไปถึงแจกเงิน ล่าสุดผู้ว่าการรัฐโอไฮโอเกิดไอเดียเด็ดประกาศแจกเงินล้านดอลลาร์ หรือสามสิบล้านบาทแบบสุ่มจับจากรายชื่อผู้ไปฉีดวัคซีน แหม..ฟังแล้วอยากย้ายไปรัฐโอไฮโอเป็นบ้า รัฐเพื่อนบ้านติดกันนี่เองแถมใครที่อายุไม่ถึง 18 แต่ไปฉีดวัคซีนแล้ว จะมีรางวัลรองลงมาคือแจกทุนการศึกษาฟรีในระดับมหาวิทยาลัยในรัฐเลือกเอาตามใจชอบได้เลย ชิคาโกนั้นลงทุนแล่นรถบัสไปหาชุมชนแต่ก็แค่จอดในลานจอดหน้าห้องสมุดเท่านั้นแหละจะว่าไปตรงนี้แพ้บ้านเรานะ บ้านเรามีอสม.ที่เข้มแข็งเดินเคาะตามบ้านให้ความรู้ความเข้าใจ แต่ในอเมริกาไม่มีใน ส่วนนี้ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนโดยแท้ รถบัสที่ว่านี่แล่นไปแบบแทบจะง้อให้คนเข้ามาฉีดไม่ต้องจองล่วงหน้าอะไรทั้งนั้น ขอให้ยื่นแขนมาเถอะพ่อคุณแม่คุณทั้งหลาย โครงการนี้ต้องการให้บริการพิเศษแก่ผู้สูงอายุในเมืองชิคาโกที่อาศัยในชุมชนที่อัตราการเข้ารับการฉีดวัคซีนต่ำและอีกทั้งสมาชิกครอบครัว เพื่อนบ้านหรือเพื่อนผู้สูงอายุจากพื้นที่อื่นที่อยู่ในพื้นที่โครงการสามารถเข้ารับการฉีดที่จุดบริการรถบัสได้เช่นกัน แต่จำกัดให้ 1 คนต่อผู้ป่วยสูงวัย 1 คนเท่านั้น ไม่เสียค่าใช้จ่ายและไม่คำนึงถึงว่า ผู้เข้ารับบริการมีประกันสุขภาพหรือสถานะการเข้าเมืองของบุคคลนั้น
ที่ต้องกำหนดไว้แบบนี้เพราะหลายคนกลัวว่าจะต้องจ่ายเงินหรืออาจจะโดนเนรเทศเพราะหลบหนีเข้าประเทศมาอย่างผิดกฎหมาย ไม่รู้ว่ามะริกันไปเอาความมั่นใจมาจากไหนทั้งที่ฉีดวัคซีนไปได้ไม่ถึง 40 เปอร์เซนต์ แต่หลายห้างร้านประกาศยกเลิกการใส่หน้ากาก อย่างห้างวอลมาร์ทและอีกหลายห้างเล่นเอาคนที่ยังปอดแหกกับโควิดถอนใจเฮือกกันเลยทีเดียว แถมอนุญาตให้คนที่ฉีดวัคซีนครบสองโดสแล้วไม่ต้องใส่หน้ากาก ประเด็นคือ เราจะรู้ได้ยังไงว่าใครฉีดหรือไม่ได้ฉีดในยามวิกฤติแบบนี้ ยังมีคนหัวหมอแต่สันดานเลวทำใบฉีควัคซีนปลอมออกขายราคาแค่ 600 บาทคือใครที่ไปฉีดวัคซีนจะมีกระดาษใบเล็กๆแจ้งว่า ไปฉีดวัคซีนเข็มแรและเข็มสองเมื่อไหร่ ไปฉีดที่ไหน บอกตรงๆเลยว่าใครๆ ก็ทำปลอมได้ เพราะปลอมง่ายมากเลยเป็นช่องทางให้พวกที่ไม่อยากฉีดวัคซีน แต่อยากถอดหน้ากากเพื่อเดินทางบินไปโน่นมานี่ซื้อมาประกอบการจองตั๋วเครื่องบินหรือเพื่อประโยชน์อื่นๆ มีการประกาศข่าวจากทั้งศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐฯ(ซีดีซี) และทำเนียบขาวว่า ประชาชนที่ได้รับวัคซีนครบแล้วไม่จำเป็นต้องสวมหน้ากากทั้งอยู่กลางแจ้งและในร่ม ในเกือบทุกสถานที่ไม่จำเป็นต้องเว้นระยะห่างทางกายในเกือบทุกสถานที่ กอดจูบลูบคลำกันได้ตามอำเภอใจ
หน่วยงานซีดีซียังคงแนะนำให้คนที่ได้รับวัคซีนแล้วสวมหน้ากากยามอยู่บนเครื่องบิน บนรถไฟ ตามสนามบิน ศูนย์กลางการขนส่งต่างๆระบบขนส่งสาธารณะ รวมถึงสถานที่อื่นๆอย่างโรงพยาบาลและสำนักงานทางการแพทย์จะดีเหรอ..แบบนี้ ลองไปดูตัวอย่างในจีนดีกว่ามั้ย เพราะภาวะการสงบราบคาบของจีนนั้นสงบจริงแต่ละวันมีคนป่วยโควิดเพิ่มาแค่หลักสิบ นั่นพลเมืองมีเป็นพันล้านคนอเมริกามีสามร้อยล้านคน ยังป่วยวันละสามสี่หมื่นแบบนี้ไม่ถือว่าสงบราบคาบอย่างแท้จริงหรอกนะ คนที่ไม่อยากฉีดวัคซีนในอเมริกา ส่วนหนึ่งเพราะเชื่อข่าวปลอมข่าวปลอมเรื่องวัคซีนมีทุกที่แหละ เพราะการขายข่าวเกี่ยวกับจุดสนใจและความหวาดกลัวของผู้คนนั้นขายได้บรรดาพวกที่แอนตี้หน้ากากและวัคซีน ส่วนมากเป็นพวกที่สนับสนุนตาลุงผมเป๋ทรัมป์ มีข่าวลือข่าวหนึ่งที่สร้างกระแสแพร่สะพัดในอเมริกาจนทำให้บรรดาชายอเมริกันอกสั่นขวัญแขวนไปตามกันนั่นคือ มีข่าวแพร่ออกมาว่า การฉีดวัคซีนจะทำให้เป็นหมัน ตัวอย่างข่าวปลอมออนไลน์ที่แพร่กระจายในโลกโซเชียลในอเมริกา คือผู้ชายคนไหนที่ฉีดวัคซีนมีภูมิป้องกันแล้ว หากไปอึ๊บกับสาวนางไหนก็ตามจะทำให้สาวนางนั้นกลายเป็นหมันในพริบตา ถ้าสาวคนนั้นยังไม่ฉีดวัคซีนกับอีกข่าวคือไอ้พวกที่แล่นไปฉีดวัคซีนแล้วเนี่ย ร้อยละ 97 เป็นหมันกันหมดแล้วจ้า หนักกว่านั้นคือล่อทั้งโคตรตระกูล
มีการกระจายข่าวว่าการฉีดวัคซีนอาจทำให้กลายเป็นหมันกันไปหมดทั่วทั้งรุ่นอายุเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เพราะคนอเมริกันเชื่อจริงจังมากมีการสำรวจของมูลนิธิครอบครัวไกเซอร์ซึ่งเป็นกลุ่มไม่หวังผลกำไรที่ทำงานด้านนโยบายสาธารณสุขเมื่อต้นเดือนพฤษภาคมนี้พบว่า พวกที่บอกว่าจะไม่ยอมฉีดวัคซีนเพราะกังวลว่าจะเป็นหมันจนมีลูกไม่ได้ผู้หญิง 50% และผู้ชาย 47% อายุระหว่าง 18-49 ปี ไม่อยากฉีดวัคซีนเพราะกลัวเรื่องนี้ วิทยาลัยสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยาอเมริกันสมาคมเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์อเมริกันและสมาคมเพื่อเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์ ร่วมกันออกคำแถลงร่วมยืนยันว่า “ไม่มีหลักฐานใดๆเลยที่ยืนยันว่าวัคซีนป้องกันโควิดสามารถนำไปสู่การเป็นหมัน” จะว่าไปอเมริกาก็เต้าข่าวปลอมได้หนักหนาสาหัสไม่แพ้เมืองไทยหรอก เพียงแต่ยังไม่ได้เอามาโจมตีทางการเมืองหนักเท่าบ้านเราเท่านั้นเอง
...........................................................
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี