เช้าวันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน 2564 ผมไปซื้อของที่ตลาดบางใหญ่ นนทบุรี ได้ยินเสียงประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้ไปตรวจคัดกรองโควิด-19 เชิงรุกที่อาคารโดม ซึ่งอยู่ถัดตัวตลาดออกไปนิด ผมจึงเดินเข้าไปตรวจ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ผมเคยตรวจแล้วถึง 2 ครั้ง ครั้งหนึ่งก็ที่ตลาดแห่งนี้ อีกครั้งหนึ่งที่โรงพยาบาลลาดพร้าวที่ผมไปรับการผ่าตัด
การตรวจที่อาคารโดมครั้งนี้ ใช้วิธี swab ด้วยการแยงจมูก เจ้าหน้าที่ในจุดตรวจแจ้งว่าถ้าผลตรวจพบเชื้อโควิด-19 จะมีโทรศัพท์ไปแจ้ง แต่ถ้าภายใน 2 วัน ไม่ได้ติดต่อไป แสดงว่าผมปลอดภัย ไม่มีเชื้อโควิด-19
รุ่งขึ้นวันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน ผมเดินทางไปทำธุระที่อำเภอจุน จังหวัดพะเยา เจ้าหน้าที่ อสม. มาวัดอุณหภูมิและซักประวัติตามปกติ และบอกให้ผมไปตรวจคัดกรองโควิดที่โรงพยาบาลจุนในวันรุ่งขึ้น คือวันอาทิตย์ แต่ภายหลังทางโรงพยาบาลขอให้เลื่อนไปตรวจในวันอังคารที่ 8
ผมจึงปรึกษากับทางโรงพยาบาลว่า ผมเดินทางมาจากนนทบุรี ผมตรวจคัดกรองโควิด-19 ภายใน 72 ชั่วโมงก่อนเดินทางมาพะเยาเรียบร้อยแล้ว ซึ่งตามคำสั่งจังหวัดพะเยา ที่ 2052/2564 ลงวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 ลงนามโดยผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา ในฐานะประธานคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดพะเยา และให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2564 ระบุไว้ชัดเจนว่า ผู้ที่เดินทางมาจากนนทบุรี เพื่อทำธุระชั่วคราว ถ้ามีผลการตรวจคัดกรองโควิด-19 แล้วภายใน 72 ชั่วโมง ให้กักตัวที่บ้าน 14 วัน ไม่ต้องมาตรวจซ้ำอีก ผมตรวจมาภายใน 72 ชั่วโมงก่อนเดินทาง ผ่านการตรวจมา 3-4 วันแล้วโดยเจ้าหน้าที่จุดตรวจคัดกรองที่บางใหญ่ไม่ได้ติดต่อมาภายใน 2 วันหลังการตรวจ ซึ่งหมายความว่า ผลการตรวจของผมเป็นปกติ ไม่ได้มีเชื้อโควิดแต่อย่างใด
เจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลจุน ขอประชุมแพทย์เพื่อพิจารณากรณีของผม จากนั้นวันจันทร์ที่ 7 ได้แจ้งผมว่า ขอให้ผมไปตรวจคัดกรองซ้ำอีก เนื่องจากผมไม่มีเอกสารมายืนยันว่าเคยรับการตรวจมาแล้วและไม่พบเชื้อจริง
ซึ่งผมก็ให้ความร่วมมือ ยอมไปตรวจแต่โดยดี เพราะเข้าใจในระบบราชการดีว่าข้าราชการนั้นจะถือปฏิบัติตามกฎระเบียบเคร่งครัด ด้วยเหตุผลที่จะได้ไม่ต้องมาเปลืองตัว หรือต้องมารับผิดชอบอะไรภายหลัง
ที่เขียนเรื่องนี้ขึ้นมา ก็เพื่อจะถามภาครัฐว่า
1.ถ้าผมหรือใครก็ตาม มีความจำเป็น หรือมีอาชีพที่ต้องเดินทางข้ามจังหวัดบ่อย ๆ ผมหรือใครคนนั้น ต้องไปให้หมอแยงจมูกทุกครั้ง ทั้งที่ตรวจคัดกรองจากหน่วยงานของรัฐมาแล้วทุกจังหวัดที่ตนเดินทางไปใช่หรือไม่ ?
2.เวลาและงบประมาณที่ใช้ไปกับการตรวจคัดกรองในข้อ 1 คุ้มค่าและสมเหตุสมผลหรือไม่ ?
3.ปัจจุบันเทคโนโลยีในการเก็บรวบรวมและสื่อสารข้อมูล พัฒนาไปมาก เหตุใดการทำงานของภาครัฐในเรื่องสำคัญในยามที่เราต้องรีบระงับยับยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จึงไม่พัฒนา ทำไมหน่วยงานภาครัฐจึงไม่สามารถแม้แต่จะเชื่อมต่อข้อมูลกันเองว่าใครมารับการตรวจคัดกรองจากหน่วยงานของรัฐแล้ว และมีผลการตรวจเป็นอย่างไร ? ครั้นจะทำเรื่องขอเอกสารรับรองผลการตรวจ ก็ไม่แน่ใจว่าทุกจุดตรวจจะอำนวยความสะดวกให้ได้ จะใช้เวลาเท่าไร และทันต่อการใช้งานหรือไม่ ?
4.แถมให้อีกข้อคือ การกรอกข้อมูล (data entry) และ การรักษาสุขอนามัยป้องกันการแพร่เชื้อที่ถูกต้องนั้น ถ้าจะกรอกข้อมูลด้วยมือ ควรกรอกข้อมูลไว้ที่เดียวเท่านั้น (single data entry) ไม่ใช่ตั้งโต๊ะกรอกข้อมูลเดียวกันถึง 2 คน 2 โต๊ะ (double data entry) และไม่มีการตรวจสอบจากเจ้าของข้อมูลว่าถูกต้องหรือไม่ (นี่คือที่อาคารโดม บางใหญ่) และถ้าจะให้ผู้เข้ารับการตรวจคัดกรอง กรอกข้อมูลเอง ควรประชาสัมพันธ์ให้ทราบล่วงหน้าว่า ต้องมากรอกข้อมูลเอง ให้นำปากกาส่วนตัวมา มิใช่วางปากกาไว้ให้ใช้ร่วมกัน ซึ่งเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการแพร่เชื้อและติดเชื้อ (นี่คือที่โรงพยาบาลจุน)
หลังเข้ารับการตรวจคัดกรองก่อนกลับ ผมลองถามเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลจุนว่า ทำไมหน่วยงานภาครัฐที่บริหารจัดการหรือปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับเรื่องโควิด โดยเฉพาะโรงพยาบาลของรัฐ ไม่มีระบบเชื่อมต่อข้อมูลให้ทั่วถึงกันว่าประชาชนคนนี้ เลขประจำตัวประชาชนหมายเลขนี้ ได้มารับการตรวจคัดกรองโควิด-19 ที่นี่ เมื่อวันที่เท่านี้ ผลการตรวจเป็นอย่างนี้ เพื่อว่าเมื่อเขาเดินทางและต้องไปรายงานตัวที่ไหน จะได้ตรวจสอบข้อมูลได้ทันที ไม่ต้องเสียเวลาให้มาตรวจซ้ำ และเก็บงบประมาณการตรวจคัดกรองซ้ำ ๆ นี้ไว้ตรวจคัดกรองประชาชนกลุ่มเสี่ยงอื่น ๆ จะดีกว่าไหม ?
เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลตอบอย่างซื่อ ๆ ว่า “โรงพยาบาลเฮาก็บ่มีงบ บ่ฮู้จะยะจะไดดี”
ผมเลยเย้าว่า “ราชการเราก็เป็นอย่างนี้ ทีตอนเก็บภาษี มีรายได้ที่ไหนเท่าไร มีบ้านหลังที่สองที่เล็กเท่ารูหนูอยู่ที่ไหนก็รู้หมด เชื่อมต่อข้อมูลกันได้หมด แต่ทีข้อมูลการตรวจคัดกรองโควิดจากหน่วยงานภาครัฐด้วยกันเองกลับทำไม่ได้ ตรวจสอบไม่ได้”
เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลกล่าวแกมหัวเราะแบบเศร้า ๆ ว่า “แต้ ๆ”
ผมเลยต้องปลอบใจไปว่า “บ่เป็นหยัง รัฐมนตรีเปิ้นบอกว่า มันเป็นโรคหวัดโรคหนึ่ง.... แหวนของตั๋วเก่า หรือแหวนของเปื้อน กะตรวจสอบบ่ได้เหมือนกั๋น”
ณรงค์ฤทธิ์ ศรีรัตโนภาส
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี