จำนวนประชากรไทยที่ประกาศอย่างเป็นทางการล่าสุด มีประมาณ 66.19 ล้านคน จำนวนวัคซีนป้องกันโควิด – 19 ที่ฉีดสะสมจนถึงวันนี้ (14 กรกฎาคม 2564) มีประมาณ 13.39 ล้านโดส ในจำนวนนี้ ที่ฉีดสะสมเข็มที่ 1 มี 10.03 ล้านคน หรือประมาณ 15.30% ของจำนวนประชากร และที่ฉีดสะสมครบ 2 เข็มแล้วมี 3.36 ล้านคน หรือประมาณ 5.08% ของจำนวนประชากร
แน่นอนว่าสถิตินี้ ไม่อาจเทียบได้กับของอิสราเอล อังกฤษ สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป จีน และรัสเซีย
และเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน การฉีดวัคซีนของเรายังทำได้ไม่ดีเท่า สิงคโปร์ มาเลเซีย กัมพูชา และอินโดนีเซีย แม้เราจะทำได้พอ ๆ กับลาว และทำได้ดีกว่าฟิลิปปินส์ เมียนมา และเวียดนามก็ตาม
จำนวนประชากร 3 ล้านกว่าคน หรือประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ของประชากรทั้งประเทศที่ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็ม ซึ่งปัจจุบันทำท่าว่าจะยังต้องฉีดเข็มที่ 3 อีกนั้น เป็นข้อเท็จจริงที่น่าเป็นห่วงว่าประเทศเราจะรับมือกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด – 19 ต่อไปอย่างไร
เพราะความจริงที่ทราบกันดีคือ เวลานี้เรามีวัคซีนไม่เพียงพอ เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบในหน่วยบริการฉีดวัคซีนบางแห่งยอมรับว่า วันเวลาที่นัดฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 ในอีก 3 - 4 เดือนข้างหน้านั้น ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าจะได้ฉีดตรงตามนั้นหรือไม่ เพราะเวลานี้ยังไม่มีวัคซีนอยู่ในมือ
วันนี้จึงป่วยการที่จะมาพูดกันถึงเรื่องวัคซีนการเมือง เพราะวันนี้ประเทศเราไม่มีวัคซีนพอให้ใครหรือการเมืองฝ่ายไหนนำไปเล่นอีกแล้ว
ครั้นจะหันไปพูดถึงวัคซีนการค้า เวลานี้ต่อให้มีเงินมากแค่ไหน ก็ใช่ว่าจะสามารถหอบเงินไปแล้วเอาวัคซีนกลับมาได้
หลายคนเรียกร้องให้ พลเอกประยุทธ์ใช้อำนาจฉุกเฉิน สั่งระงับการส่งออกวัคซีนแอสตรา เซเนกาที่ผลิตในไทยชั่วคราว เพื่อนำมาใช้ในประเทศก่อน ซึ่งหากทำเช่นนั้น ก็เป็นการหักด้ามพร้าด้วยเข่าที่ต้องพร้อมจะรับผลกระทบด้านลบที่ต้องตามมาในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
อย่างไรก็ดี ณ วันนี้ มีหนึ่งทางออก ที่เราควรทำ เพียงแต่เรายังทำไม่พอ
ทางออกที่ว่านี้คือ “การทูตวัคซีน”
ปัจจุบัน ในเวทีโลก วัคซีนโควิด – 19 ไม่เพียงเป็นธุรกิจการค้าที่อำนาจต่อรอง หรือพูดให้ถูกต้องคืออำนาจทั้งหมด อยู่ในมือของผู้ผลิต ผู้ซื้อไม่มีโอกาสต่อรอง เท่านั้น
แต่วัคซีนโควิด – 19 ยังเป็นเครื่องมือทางการทูต หรือพูดให้ถูกต้องคือเครื่องมือทางการเมือง ที่ชาติมหาอำนาจผู้ผลิตวัคซีนใช้มาเป็นประโยชน์ในการขยายอิทธิพลของชาติตน โดยอาศัยรูปแบบการให้ความช่วยเหลือ ที่เรียกว่า “การทูตวัคซีน” อีกด้วย
จีนเริ่มการทูตวัคซีนก่อนโดยส่งวัคซีน แพทย์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ไปในหลายประเทศ ทั้งในเอเชีย แอฟริกา และแม้ในยุโรป และอินเดียที่ไม่ค่อยถูกกับตน
สหรัฐอเมริกาจึงต้องรีบประกาศบริจาควัคซีนให้ทั้งโลก 500 ล้านโดส จากนั้นก็ชวนประเทศที่รวยที่สุดในโลก 7 ประเทศ หรือ G7 บริจาควัคซีนไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านโดสให้กับ 100 ประเทศ และตระเวนไปพบผู้นำในประเทศต่าง ๆ รวมทั้งไทย เพื่อรักษาอิทธิพลของตนไว้ ไม่ให้ประเทศเหล่านั้นไปใกล้ชิดสนิทสนมกับจีนจนเกินไป
ในภาวการณ์ที่ประเทศเราขาดแคลนวัคซีน ทั้งไม่มีหลักประกันว่าจะได้วัคซีนอะไรมาเท่าไรและเมื่อใด เราจะอาศัยเพียงการผลิตวัคซีนในประเทศและการจองซื้อวัคซีนจากต่างประเทศอย่างเดียวคงไม่พอ
การทูตวัคซีน จึงน่าจะเป็นทางออกอีกทางหนึ่งที่ทรงพลัง และมีอำนาจต่อรองมากกว่าการซื้อวัคซีน เพราะประเทศไทยนั้น ไม่ใช่ประเทศที่ชาติมหาอำนาจผู้ผลิตวัคซีนไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา จีน สหภาพยุโรป หรือรัสเซีย จะมองข้ามและไม่เห็นความสำคัญ
และเมื่อพูดถึง “การทูตวัคซีน” ไม่ได้หมายเพียงแค่ชาติมหาอำนาจจะใช้วัคซีนมาเป็นเครื่องมือในการดำเนินนโยบายทางการทูตและการเมืองเท่านั้น หากยังหมายถึงประเทศเล็ก ๆ อย่างเรา สามารถใช้วิเทโศบายทางการทูตให้ได้มาซึ่งวัคซีนที่เราต้องการอีกด้วย
ในอดีต ในยุคล่าอาณานิคม ประเทศเราเคยถูกทั้งอังกฤษและฝรั่งเศสรุกราน จนต้องยอมเสียดินแดนไปทีละส่วน ๆ กระทั่งเกิดวิกฤติการณ์ ร.ศ. 112 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเหล่าขุนนางข้าราชการในสมัยนั้น ทรงใช้และได้ใช้วิเทโศบายทางการทูต กระทั่งทรงอุตส่าห์เสด็จประพาสยุโรปเพื่อรักษาผืนแผ่นดินไทยไว้
เราคนไทยในวันนี้ จึงควรอย่างยิ่งที่จะศึกษาแบบอย่างจากบุรพกษัตริย์และบรรพชนไทย ที่ใช้นโยบายทางการทูตมาปกปักรักษาประเทศชาติและประชาชน
การทูตวัคซีน จึงเป็นทางออกที่ควรรีบทำ ทั้งเป็นทางออกที่อาจได้ผลเร็วกว่าการสั่งซื้อวัคซีนเสียด้วยซ้ำ
ณรงค์ฤทธิ์ ศรีรัตโนภาส
14 กรกฎาคม 2564
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี