ตั้งแต่เริ่มการระบาดจนกระทั่งวันนี้อเมริกาไม่ได้มีความสมานฉันท์สวยงาม อย่างที่ใครหลายคนคิดแต่เต็มไปด้วยความวุ่นวายทั้งประเทศ ย้อนกลับไปช่วงที่ประธานาธิบดีชื่อโดนัลด์ ทรัมป์ซึ่งเกิดการระบาดหนักมาก คนอเมริกันวันนั้นอดอยาก อาหารขาดแคลนหวาดกลัว และยากลำบากสาหัส เพราะไม่มีอุปกรณ์ฆ่าเชื้อโรคให้ใช้ทุกอย่างขาดตลาดเหมือนภาวะสงคราม ต่างยืนเข้าคิวรอเข้าห้างเพื่อซื้อกระดาษชำระและอาหารเท่าที่พอจะหาซื้อได้เพราะสินค้าเกลี้ยงชั้นทุกห้าง
ผู้นำประเทศไม่ได้สร้างความอุ่นใจเลย ซ้ำร้ายเมินเฉยต่อคำแนะนำทางการแพทย์ของทีมแพทย์อย่างหมอเฟาซี่ ตัวทรัมป์เองก็ไม่ยอมใส่หน้ากาก ละเลยคำเตือนของทีมแพทย์จนทำให้กลุ่มสนับสนุนทรัมป์พากันแอนตี้การใส่หน้ากากและมาตรการล็อคดาวน์ของรัฐ ถึงขั้นลากปืนยาวมาประท้วง บางรัฐประท้วงหมอพยาบาลจนหมอในโรงพยาบาลต้องออกมาขอร้องให้อย่าออกมาชุมนุม แต่คนเหล่านี้ก็อ้างวาทกรรม “ร่างกายของฉัน สิทธิของฉัน”โดยไม่สนว่าจะละเมิดสิทธิในการป้องกันโรคของคนอื่นหรือไม่
เมื่อโจ ไบเดน เข้ามารับตำแหน่งตามการเลือกตั้งก็ออกนโยบายเร่งให้คนอเมริกันฉีดวัคซีนให้มากที่สุดและเร็วที่สุดก่อนการฉลองวันชาติ 4 กรกฎาคม แต่ปรากฎว่าไม่เป็นไปตามความคาดหมาย ไม่มีรัฐไหนฉีดได้ถึง 70 เปอร์เซนต์ตามเป้าที่วางไว้ รัฐที่ฉีดได้มากสุดคือเวอร์มอนต์แต่รัฐนี้ไม่เคยเป็นเขตระบาด เพราะคนน้อย ฉีดได้ 67 เปอร์เซนต์ส่วนรัฐที่ยอดฉีดน้อยสุดคือรัฐแอละบามาและมิสซิสซิปปี้ คือแค่ 34เปอร์เซนต์
เรื่องการป้องกันโควิดในอเมริกามีเรื่องการเมืองมาเกี่ยวข้องรัฐไหนที่ผู้ว่าการรัฐเป็นคนพรรครีพับริกันที่สนับสนุนทรัมป์หรือฐานเสียงทรัมป์ รัฐนั้นยอดฉีดน้อยมาก รัฐไหนสนับสนุนเดโมแครตยอดฉีดจะสูงกว่ารัฐรีพับลิกัน นี่คือความจริงในสังคมอเมริกัน
หลังจากยอดป่วยลดลงแค่สองเดือน เพราะเร่งฉีดตอนนี้ดีดตัวสูงขึ้นอีกครั้งอย่างรวดเร็ว เพราะสายพันธุ์เดลต้าบุกอเมริกาทุกรัฐและปริมาณการฉีดแผ่วลงอย่างน่าใจหาย อีกทั้งนโยบายผู้ว่าการรัฐก็สำคัญ อย่างเท็กซัสซึ่งผู้ว่าการรัฐเป็นสายรีพับลิกัน เมื่อช่วงฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมาพลเมืองเพิ่งฉีดไปได้แค่ 15 เปอร์เซนต์ แต่ผู้ว่าการรัฐสายรีพับลิกัน เกร็กแอบบ็อตต์ ยกเลิกมาตรการบังคับสวมหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะและอนุญาตให้ภาคธุรกิจกลับมาเปิดเต็มรูปแบบ โดยไม่ฟังเสียงเตือนของประธานาธิบดี หมอเฟาซี่หรือแม้แต่องค์การอนามัยโลก
ตอนนี้รัฐเท็กซัสลายเป็นรัฐที่ระบาดหนักอีกรอบ แต่ผู้ว่าการรัฐก็ยังยืนยันว่าจะไม่ลงนามคำสั่งบังคับสวมหน้ากากทั่วทั้งรัฐ ถึงแม้ว่าคนป่วยจะเพิ่มสูงขึ้นก็ตาม แถมย้ำว่าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมที่จะให้คนที่มีภูมิคุ้มกันต้องสวมหน้ากากอนามัย แบบนี้คงต้องบอกว่าขออภัยที่ข่าวสารจากองค์การอนามัยโลกไปไม่ถึงบ้านท่านผู้ว่าการรัฐเท็กซัส นอกจากเท็กซัสแล้วรัฐทางใต้อีกหลายรัฐที่ผู้ว่าการรัฐมาจากรีพับลิกันโดนโควิดสายพันธุ์เดลต้าถล่มจนงอมพระราม
คนอเมริกันจำนวนมากที่ต่อต้านการฉีดวัคซีนคือกลุ่มเดียวกับที่ต่อต้านการใส่หน้ากากนั่นเอง และเป็นกลุ่มผู้สนับสนุนโดนัลด์ ทรัมป์ จนวันนี้คนกลุ่มนี้ยังยืนกรานบอกโลกว่า โควิดเป็นเรื่องโกหกเป็นข่าวปลอมและเป็นแค่ไข้หวัดธรรมดา ทั้งที่ตายไปหกแสนกว่ารายแล้วในวันนี้ยอดป่วยสะสมคือ 35 ล้านกว่าๆ
หลายคนสงสัยว่าในขณะที่คนไทยบางส่วนยกย่องวัคซีนอเมริกันว่าเป็นวัคซีนโคตรเทพ แต่ทำไมคนอเมริกันถึงไม่ยอมไปฉีดวัคซีน..เรื่องนี้ตอบสั้นๆ เลยว่าเรื่องการที่คนไม่ยอมฉีดส่วนหนึ่งมาจากความคิดทางการเมืองและการเชื่อข่าวปลอม
อย่าคิดว่าอเมริกาจะไม่เต้าข่าวปล่อยข่าวปลอมคนที่ไม่อยากฉีดวัคซีนในอเมริกา ส่วนหนึ่งเพราะเชื่อข่าวปลอมประมาณต้นปีมีข่าวลือหนึ่งสร้างกระแสแพร่สะพัดในอเมริกา จนทำให้บรรดาชายอเมริกันอกสั่นขวัญแขวนไปตามกันนั่นคือ มีข่าวแพร่ออกมาว่า การฉีดวัคซีนจะทำให้เป็นหมัน
ตัวอย่างข่าวปลอมออนไลน์ที่แพร่กระจายในโลกโซเชียลในอเมริกา คือผู้ชายคนไหนที่ฉีดวัคซีนมีภูมิป้องกันแล้วหากไปอึ๊บกับสาวนางไหนก็ตาม จะทำให้สาวนางนั้นกลายเป็นหมันในพริบตา ถ้าสาวคนนั้นยังไม่ฉีดวัคซีน กับอีกข่าวคือไอ้พวกที่แล่นไปฉีดวัคซีนแล้วเนี่ย ร้อยละ 97เป็นหมันกันหมดแล้วจ้า หนักกว่านั้นคือล่อทั้งโคตรตระกูล มีการกระจายข่าวว่าการฉีดวัคซีนอาจทำให้กลายเป็นหมันกันไปหมดทั่วทั้งรุ่นอายุเอาซี้..ฟาดกันขนาดนี้เลย
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เพราะคนอเมริกันเชื่อจริงจังมาก มีการสำรวจของมูลนิธิครอบครัวไกเซอร์ ซึ่งเป็นกลุ่มไม่หวังผลกำไรที่ทำงานด้านนโยบายสาธารณสุข เมื่อต้นเดือนพฤษภาคมนี้ พบว่าพวกที่บอกว่าจะไม่ยอมฉีดวัคซีนเพราะกังวลว่าจะเป็นหมันจนมีลูกไม่ได้ผู้หญิง 50% และผู้ชาย 47% อายุระหว่าง 18-49 ปีไมอยากฉีดวัคซีนเพราะกลัวเรื่องนี้
วิทยาลัยสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยาอเมริกันสมาคมเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์อเมริกันและสมาคมเพื่อเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์ร่วมกันออกคำแถลงร่วมยืนยันว่า
“ไม่มีหลักฐานใดๆเลยที่ยืนยันว่าวัคซีนป้องกันโควิดสามารถนำไปสู่การเป็นหมัน”
นกอจากเรื่องฉีดวัคซีนแล้วเป็นหมัน ยังมีเรื่องแม่เหล็กในวัคซีนของไฟเซอร์และโมเดอร์น่า อาทิตย์ก่อนนี้เองมีการแชร์คลิปหนึ่งแพร่กระจายไปในโลกโซเชียลอเมริกัน นั่นคือคลิปการสนทนาระหว่าง สตูว์ ปีเตอร์ส (Stew Peters) พิธีกรจาก Red Voice Media กับ ดร.เจน รูบี้ (Jane Ruby)จากการตรวจสอบประวัติพบว่าไม่ใช่หมอแต่อย่างใด แต่เนียนมากเพราะคนอเมริกันเชื่อว่าเป็นหมอสองคนนั้นอ้างว่าตนเป็นนักเศรษฐศาสตร์สาธารณสุขจากวอชิงตัน ดี.ซี.
แถมจบปริญญาเอกด้านจิตวิทยาอีกต่างหาก ตอนหนึ่งในคลิปสนทนา เจนรูบี้ ที่ไม่รู้ว่าบี้จริงไหม เพราะดูทรงแล้วไม่มีอะไรจริงสักอย่างนางกล่าวเน้นว่า“มีการใช้สนามแม่เหล็กผ่านสารเคมีหลายตัว เพื่อดึง RNAเข้าไปในเซลล์ของพวกเรา”
หนักกว่านั้นนางรูบี้อ้างถึงคลิปอีกมากมายที่มีคนจำนวนหนึ่งไปฉีดวัคซีนเทพของอเมริกาแล้วกลายเป็นมนุษย์แม่เหล็ก สามารถดึงดูดเหล็กปลิวมาติดได้โอ้ว์..พระเจ้าจอร์จ มันยอดมากเลยค่ะข่าวปล่อยแนวนี้แหละที่คนอเมริกันเชื่อสุดจิตสุดใจ แม้จะมีนักวิชาการแท้ออกมาอธิบายจนปากฉีกถึงหุก็ยังไม่เชื่อ
เอกสารนำเสนอข้อเท็จจริงจากหน่วยงานด้านสาธารณสุขของอเมริกาและแคนาดา ยืนยันตรงกันว่า วัคซีนป้องกันโควิดที่ทั้ง 2 ชาติใช้งานอยู่คือไฟเซอร์ โมเดอร์นา จอห์นสันแอนด์จอห์นสันและแอสตร้าเซนเนก้า ไม่มีส่วนผสมจากโลหะใดซึ่งเป็นองค์ประกอบที่จำเป็นสำหรับกระบวนการ magnetofection ที่รูบี้กล่าวอ้าง
ด้านคอลัมน์ Fact Check จากเว็บไซต์ข่าว USA Today ระบุชัดเจนว่าวัคซีนโควิดไม่มีส่วนประกอบใดๆที่สามารถก่อให้เกิดสนามแม่เหล็กในบริเวณที่ฉีดได้ทุกชนิดปลอดจากโลหะ ไม่ว่าจะเป็นเหล็ก, นิกเกิล, โคบอลต์, ลิเธียมหรือโลหะผสมหายากต่างๆ รวมถึงไม่มีสิ่งที่ถูกผลิตขึ้นมาอย่างเช่นวงจรไฟฟ้าขนาดเล็ก (microelectronics), ขั้วไฟฟ้า (electrodes),คาร์บอนนาโนทิวบ์ หรือเซมิคอนดักเดอร์แบบสายนาโน
ไอ้ข่าวปล่อยข่าวปลอมข่าวลือพวกนี้แหละที่ทำให้คนอเมริกันยิ่งไม่อยากไปฉีดวัคซีน แถมพวกกลุ่มหนุ่มสาวไม่ยอมไปฉีด เพราะคิดว่าเป็นได้ก็หายเองได้แต่ไม่เคยคิดว่าตนเองจะเป็นพาหะแพร่เชื้อไปให้คนอื่นในสังคมด้วยเหตุนี้ทำให้คนอเมริกันบางกลุ่มจึงไม่ยอมฉีดวัคซีน ทั้งที่คนบางประเทศแห่แหนวัคซีนไฟเซอร์และโมเดอร์น่าประดุจเทพก็ตาม
.......................................................
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี