เมื่อคืนดูข่าวภาคค่ำทางสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่ง พบข่าวที่น่าสะเทือนใจเกี่ยวกับการเสียชีวิตของผู้ป่วยโควิดที่พักรักษาตัวอยู่ที่บ้านเนื่องจากภาวการณ์ที่จำนวนเตียงพยาบาลและสถานพยาบาลมีไม่เพียงพอตามที่ทราบกัน
ในจำนวนข่าวดังกล่าว มีข่าวของเหตุการณ์หนึ่งที่สร้างความสะเทือนใจเป็นอย่างมากแม้แต่กับเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการฉุกเฉินพิเศษและเจ้าหน้าที่มูลนิธิกู้ภัยที่เข้าไปให้ความช่วยเหลือ ซึ่งปกติจะพบเห็นเหตุการณ์ทำนองนี้มาจนชาชิน
เป็นข่าวการเสียชีวิตของหญิงคนหนึ่งที่พักอาศัยอยู่ที่อาคารชุดย่านถนนเทพารักษ์ จังหวัดสมุทรปราการ สามีของเธอเป็นพนักงานบริษัทและติดโควิดจึงถูกส่งไปรักษาตัวที่ฮอสพิเทลแถวหัวลำโพง หญิงคนนั้นเป็นแม่ค้าขายของในตลาด เกรงว่าตนเองเป็นกลุ่มเสี่ยงและจะไปติดลูกน้อย จึงไปขอรับการตรวจคัดกรอง แต่โรงพยาบาลหลายแห่งที่ไป ไม่รับตรวจให้ จึงกลับมาหาทางป้องกันรักษาตัวเองที่บ้าน และปกป้องลูกน้อยของเธอด้วยการแยกให้ลูกนอนคนละที่กับเธอ
3 วันหลังจากที่สามีออกจากบ้านไปรักษาตัวที่ฮอสพิเทล เธอเสียชีวิตภายหลังโทรศัพท์ไปบอกญาติที่จังหวัดอุบลราชธานีว่า หากเธอเป็นอะไรไปให้ช่วยดูแลลูกของเธอด้วย
หนูน้อยวัย 7 ขวบ บอกเจ้าหน้าที่ในดึกของวันที่แม่จากไปว่า หนูตื่นมาตอนเช้า ปลุกแม่ให้ต้มมาม่าให้กิน แม่ไม่ยอมพูด แม่ไม่ตอบ แม่ไม่ตื่น ไม่รู้แม่เป็นอะไร
ในห้องพัก เจ้าหน้าที่พบหม้อต้มสมุนไพร ยังมีสมุนไพรคาอยู่ในหม้อ ซึ่งแสดงว่าเธอพยายามรักษาตัวเองและปกป้องลูกน้อยอย่างสุดกำลัง
การเสียชีวิตเพราะไม่สามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลทำนองนี้ เกิดขึ้นที่โน่น ที่นี่ ทุกวัน เป็นข่าวบ้าง ไม่เป็นข่าวบ้าง
ไม่ใช่เพราะแพทย์พยาบาลไม่สนใจรักษา
ไม่ใช่เพราะรัฐบาลอยากเห็นคนตาย
ยิ่งไม่ใช่เพราะประชาชนมันไม่ได้เรื่อง การ์ดตก ไม่ระวังตัวเอง หนักเข้าลามปามไปด่าสถาบันครอบครัวของคนไทย ไปด่านิสัยคนไทย ฯลฯ อย่างที่พวกเลือกข้างเชียร์ชอบโพสต์กันในไลน์
แต่เป็นเพราะศักยภาพในการรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิดครั้งนี้ของเรา ที่มีไม่เพียงพอ
ไม่เพียงพอเพราะสถานการณ์การแพร่ระบาดครั้งนี้หนักหนาสาหัสสากรรจ์ เพราะความสามารถในการบริหารจัดการเพื่อรับมือกับปัญหา หรือเพราะทั้งสองอย่างนั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่สามารถหาคำตอบได้ แต่ไม่ใช่เจตนารมณ์ของงานเขียนชิ้นนี้ที่จะหาคำตอบ
เจตนารมณ์ของข้อเขียนนี้ เพียงเพื่อต้องการให้เราหันกลับมาสู่ความเชื่อดั้งเดิมที่ถูกต้องของเราในการลดจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตด้วยการเร่งฉีดวัคซีนให้เร็วที่สุดและมากที่สุด
ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิคุ้มกันวิทยามีความเห็นคล้ายคลึงกันว่า เมื่อใดก็ตามที่มีการฉีดวัคซีนป้องกันโควิดได้มากกว่า 60-75% จะเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ และเมื่อถึงตอนนั้น จะทำให้การแพร่ระบาดของไวรัสน้อยลง ที่สำคัญ คนที่ได้รับวัคซีนแล้ว หากติดโควิด อาการจะไม่หนักเท่าคนที่ไม่ได้รับวัคซีน และโอกาสที่จะเสียชีวิตก็มีน้อยกว่า
แต่ก็อย่างที่ทราบกัน ทุกวันนี้เรามีวัคซีนไม่เพียงพอ ประชาชนที่ได้รับวัคซีนครบโดสแล้วมีเพียง 5% ที่ได้รับโดสแรกมี 18% ห่างไกลความเป็นไปได้ที่จะสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในประเทศ
การมีวัคซีนไม่เพียงพอ เป็นอุปสรรคอย่างมากต่อการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ แต่กฎระเบียบในการเข้ารับการฉีดวัคซีน ยิ่งสร้างอุปสรรคให้หนักหนาขึ้นไปอีก
แพทย์อาสาที่ไปฉีดวัคซีนให้หน่วยบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 แห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า ที่หน่วยบริการของตนมีผู้ลงทะเบียนมาฉีดน้อยกว่าจำนวนที่ลงทะเบียนไว้ เนื่องจากได้สิทธิไปฉีดที่อื่นก่อน ทำให้วัคซีนที่เตรียมมาเหลือ แพทย์อยากจะฉีดให้ประชาชนที่ walk in เข้ามาขอฉีดก็ทำไม่ได้ เพราะระเบียบไม่อนุญาตให้ทำ ทั้งที่ถ้าไม่มีระเบียบแบบนั้น ประชาชนก็จะได้รับการฉีดวัคซีนเร็วขึ้น ภูมิคุ้มกันหมู่ก็จะเพิ่มมากขึ้น
ผู้จองซื้อวัคซีนซิโนฟาร์มจากราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์จำนวนหนึ่ง เปิดเผยว่า พวกตนอุตส่าห์เจียดเงิน 1,554 บาท ไปแย่งกันลงทะเบียนเพื่อจองซื้อวัคซีนมาฉีด เนื่องจากที่เคยลงทะเบียนไว้ตามที่ต่าง ๆ ถูกแจ้งเลื่อนอย่างไม่มีกำหนด ด้วยความต้องการที่จะฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้ตนเองและสังคมตามนโยบายรัฐบาลจึงยอมจ่ายเงินซื้อวัคซีน
ครั้นพอลงทะเบียนจ่ายเงินไปได้วันเดียว โรงพยาบาลที่เคยลงทะเบียนไว้แล้วเลื่อน ส่งข้อความมาบอกว่ามีวัคซีนแล้วให้ไปฉีดได้ พวกเขาบางคนจึงติดต่อโรงพยาบาลขอนำญาติที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนไปฉีดแทนเนื่องจากเขาซื้อวัคซีนไว้แล้วที่ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ แต่โรงพยาบาลบอกไม่ได้ ตามระเบียบต้องให้คนที่ลงทะเบียนไว้เท่านั้นมาฉีดจึงจะฉีดให้
พวกเขาจึงหันไปพึ่งราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ โดยตั้งใจว่าตนเองจะไปฉีดฟรีตามที่ลงทะเบียนไว้ และจะขอให้ญาติไปฉีดวัคซีนที่จ่ายเงินซื้อไปแล้วกับราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์แทน แต่ปรากฏว่า ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ตั้งกฎว่า “ภายหลังจากชำระเงินค่าวัคซีนเรียบร้อยแล้ว ไม่สามารถเปลี่ยนสิทธิ์ให้ผู้อื่นได้ทุกกรณี”
เท่าที่ทราบ ดูเหมือนพวกเขาบางคนไม่ละความพยายาม ได้โพสต์เล่าข้อเท็จจริงและขอความเห็นใจไปยังเพจของราชวิทยาลัย ฯ เนื่องจากสิ่งที่ร้องขอ ไม่ได้ทำให้อะไรเสียหาย มีแต่จะเกิดผลดีที่ช่วยให้การฉีดวัคซีนให้กับประชาชนเป็นไปโดยเร็วขึ้น แต่จนทุกวันนี้ ก็ยังไม่มีคำตอบใด ๆ กลับมา
ก่อนหน้านั้น เราเรียกร้องให้ประชาชนไปฉีดวัคซีน ประชาชนจำนวนไม่น้อยยังกลัว ๆ กล้า ๆ กลัวตัวเองเป็นหนูทดลอง
มาวันนี้ ประชาชนมีความเข้าใจมากขึ้น กลัวน้อยลง กระทั่งแย่งกันลงทะเบียนฉีดวัคซีน แม้จะต้องจ่ายเงินซื้อวัคซีนมาฉีดก็ตาม
แต่กฎระเบียบของทางราชการ กลับสวนทางกับนโยบายของตนเอง ที่ต้องการฉีดวัคซีนให้เร็วที่สุด มากที่สุด เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ ลดจำนวนผู้ติดเชื้อ และลดการเสียชีวิต
ทบทวนระเบียบของพวกท่านเถอะครับ อย่าให้ระเบียบขัดขวางนโยบายของตนเอง ขัดขวางการเข้าถึงการรักษาพยาบาลของประชาชน เพราะระเบียบเหล่านี้ ยากที่ประชาชนจะรับและเข้าใจได้
ณรงค์ฤทธิ์ ศรีรัตโนภาส
29 กรกฎาคม 2564
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี