ขณะที่เขียนต้นฉบับนี้ เป็นเวลาอีกไม่กี่นาทีก็จะมีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อลงมติไว้วางใจหรือไม่ไว้วาง นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ
นี่ไม่ใช่หนแรกที่พลเอกประยุทธ์ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ และทุกครั้งก่อนจะมีการอภิปรายก็จะมีการโฆษณาประชาสัมพันธ์จากฝ่ายค้านก่อนว่า การอภิปรายหนนี้รัฐบาลต้องเสร็จแน่ๆ รัฐบาลไปต่อไม่ได้ ไปต่อไม่เป็นแน่นอน
ไม่ต่างกับการออกมาชุมนุม ออกมาประท้วงของกลุ่มโน้น กลุ่มนี้กลุ่มนู้น ต่างก็พูดเหมือนๆกันว่า รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จอด ไม่ต้องแจว บางกลุ่มก็ประกาศชัยชนะอันยิ่งใหญ่ เสร็จแล้ววันรุ่งขึ้น หรือ 2/3 วันต่อมาก็ชุมนุมอีก เพื่อที่จะประกาศชัยชนะอีกเป็นอยู่อย่างนี้
การอภิปรายไม่ไว้วางใจหนนี้ไม่ได้แตกต่างไปจากการอภิปรายครั้งก่อนในเนื้อหาสาระ ที่ไม่ค่อยจะมีสาระพอที่จะเปลี่ยนใจสมชิกสภาผู้แทนโดยเฉพาะ สมาชิกสภาผู้แทนฝ่ายรัฐบาลให้รู้สึกผิด หรือให้รู้สึกตะขิดตะขวงใจที่จะต้องลงคะแนนให้กับรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ตัวอย่างเช่น การอภิปรายถึงการแก้ปัญหาโรคระบาดโควิด / 19 ที่ฝ่ายค้านบอกว่า รัฐบาลปล่อยให้คนไทยประสพชะตากรรม “ตายเป็นใบไม้ร่วง “
มีคนไทยเสียชีวิตจากโรคระบาดนี้จากวันละสิบมาเป็นหลายสิบ และในที่สุดก็สองร้อยกว่าคนในการระบาดรอบหลังๆนี้ และขณะนี้ก็ค่อยๆลดลงแล้ว
ถ้าการเสียชีวิตเพราะโควิด /19 ในบ้านเรา เรียกว่า เป็นการตายแบบใบไม้ร่วง แล้วที่ตายที่อินเดีย อิตาลี อังกฤษ ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา บราซิล หรือรอบบ้านเราอย่างมาเลเซีย อินโดเนเซีย จะให้เรียกว่าอย่างไร
ที่พูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่า ไม่เห็นอกเห็นใจครอบครัวของผู้สูญเสีย
ผมพูดหลายครั้งแล้วว่า โควิด / 19 เป็นโศกนาฏกรรมที่ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะประเทศไทย แต่เกิดขึ้นทั่วโลก เกือบทุกประเทศในโลกโดนกันหมด กระทบกับคนทั้งโลก กระทบทุกรัฐบาล และสร้างความยากลำบากให้กับประชาชนทุกคน
เทียบกับการแก้ปัญหาแล้ว ประเทศของเราเป็นประเทศหนึ่งที่แก้ปัญหาได้ดี
และจะดีกว่านี้ ถ้าการเมืองในประเทศเราดี
ผมพูดคำว่า ถ้าการเมืองเราดี ผมหมายถึงการเมืองในทุกภาคส่วน
ทั้งฝ่ายรัฐบาล ทั้งฝ่ายค้าน
ฝ่ายรัฐบาลเราก็จะเห็นว่า การสั่งการไม่เป็นเอกภาพ กทม. ออกคำสั่ง ฝ่ายรัฐบาลกลางลบคำสั่ง ออกคำสั่งมาซ้อนอีก มีมีวัคซีนเข้ามา การแจกจ่ายก็มีการเมืองเข้ามาแทรก โรงพยาบาลที่นัดคนไข้ไว้แล้วต้องเลื่อน เพราะวัคซีนต้องโยกไปที่โน่น ที่นี่ตามแรงผลักดันของนักการเมือง
นายกรัฐมนตรีจะแก้ปัญหาก็ลำบาก เพราะจะทำอะไรลงไปก็กระทบเสียงที่สนับสนุน ต้องเกรงใจภูมิใจไทยที่ดูแล กระทรวงสาธารณสุข ดูแลกระทรวงคมนาคม จะใช้ศูนย์บางซื่อเป็นที่ฉีดวัคซีน แทนที่จะกระจายไปตามโรงพยาบาลต่างๆใกล้บ้าน ใกล้ชุมชน ก็ต้องปล่อยให้แห่มาบางซื่อ เพื่อจะให้คมนาคมที่ดูแลบางซื่อได้หน้า
มองไปที่ฝ่ายค้าน มันก็ไม่มีเหตุผลอื่นใดนอกไปเสียจากอยากเขย่าเก้าอี้นายกรัฐมนตรีให้สั่นคลอนตลอด เพราะฝังใจแต่แรกแล้วว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการทำรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 มาจากเผด็จการ ไม่เป็นประชาธิปไตย
และแม้จะมีการเลือกตั้งหลังการร่างรัฐธรรมนูญเสร็จ ก็ถือว่าเป็นการสืบทอดอำนาจ มาจากเผด็จการ
เพราะฉะนั้นฝ่ายค้านต้องขวางทุกวิถีทาง
เมื่อเกิดโรคระบาดโควิด / 19 ก็บอกประชาชนว่า อย่าไปเชื่อ รัฐบาลเอาโควิดมาขู่ ไม่ให้ประชาชนเคลื่อนไหว ไม่ให้ประชาชนต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย พอเห็นว่าโควิดมันระบาดกันทั่วโลกมีคนตายจริงๆให้เห็น คราวนี้มาใหม่ ว่าทำไมไม่หาวัคซีน พอรัฐบาลสนับสนุนโรงงานที่ผลิตได้ในประเทศก็ด่าอีก สนับสนุนทำไม
พอสั่งวัคซีนจีนเข้ามา บอกว่า เอาวัคซีนห่วยๆมาให้ประชาชน (แต่พอวัคซีนเข้ามาแม่งแห่ไปฉีดก่อนประชาชนเสียอีก)
กล่าวโดยสรุปก็คือ ตั้งแต่เกิดโรคระบาด ฝ่ายค้านไม่เคยทำตัวให้เป็นประโยชน์อันใดกับประชาชน นอกจากบ่อนเซาะรัฐบาล
ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการของปีศาจร้าย อย่าง ทักษิณ ชินวัตร ที่กำลังระหกระเหินนีคุกอยู่ต่างประเทศ หาทาง หาจังหวะที่จะกลับประเทศให้ได้ เพราะไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่มีทางที่จะเจรจากับรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ได้แน่
ในความคิดอันร้อนรุ่มของทักษิณก็คือ รัฐบาลประยุทธ์ต้องออกไป เหมืออย่างที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ต้องออกไป
ต้องหารัฐบาลอื่น อย่างรัฐบาลสมัคร สมชาย หรือยิ่งลักษณ์ หรือใครก็ได้ที่พอจะเจรจาได้มาแทน
จังหวะการอภิปรายไม่ไว้วางใจนี่เป็นโอกาสดีที่สุด !
ฝ่ายรัฐบาลในพรรคร่วมรัฐบาลก็มีจุดอ่อน พรรคพลังประชารัฐ เป็นพรรคแกนนำ พลเอกประยุทธ์ก็ไม่ใช่หัวหน้าพรรค ไม่ได้ดูแลโดยตรง เลยมีช่องว่าง ทำให้รัฐมนตรีช่วยกลุ่มหนึ่งที่คิดว่าตัวมีความสำคัญ มีเสียงในพรรค ทุ่มเทให้พรรค อยากจะเป็นรัฐมนตรีว่าการ
ทั้งหลายทั้งปวงนี้ก็สอดคล้องกันที่จะเขย่าเก้าอี้นายกรัฐมนตรี
พวกเขาคิดว่า ถ้าต่างช่วยกันออกแรงก็คงจะสำเร็จ
นี่คือที่มาในช่วงที่เกิดการอภิปรายไม่ไว้วางใจ
พวกเขาจะลงมติไม่ไว้วางใจก่อนที่จะอภิปรายเสร็จส้ินในคืนวันที่ 3 เสียอีก
ลืมคิดไปว่า ความผูกพันของ 3 ป นั้น เขาคบกันมาตั้งแต่เป็นร้อยตรี ร้อยโท ร้อยเอกจนกระทั่งมาเป็นนายพล และมาก่อการ 22 พฤษภาคม 2557
ประเมินว่า “น่าจะเหมือนนักการเมืองกเฬวรากอย่างพวกเรานี่แหละ”
เรื่องก็เป็นอย่างนี้แหละครับ
สำเริง คำพะอุ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี