มีคำถามมาถึงผมมากมายในสัปดาห์นี้
คำถามแรก รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จะไปยังไง เมื่อเลขาธิการพรรคที่เป็นแกนในการจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้เป็นรัฐมนตรี จะกระทบเสถียรภาพรัฐบาลหรือไม่ ?
รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ค่อนข้างจะเป็นรัฐบาลที่ประหลาด ไม่ปรากฏในตำรารัฐศาสตร์ ปกติ นายกรัฐมนตรี มักจะเป็นหัวหน้าพรรค ผู้นำในพรรค หรือนายทุนของพรรค แต่นี่มีกลุ่มนักการเมืองตั้งพรรคขึ้นมา เพื่อสนับสนุนให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เรียกกันว่ากลุ่ม สี่กุมาร (คำว่ากุมารอาจจะแสดงให้เห็นว่า ยังเด็ก ยังอ่อน) กับอีกกลุ่มหนึ่งที่ค่อนข้างจะเขี้ยว หรือแก่พรรษาที่เรียกกันว่า สามมิตร หรือสามหมาสามแมวอะไรทำนองนี้แหละ
และวันเวลาก็ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า คำเรียกขานว่า สี่กุมาร หรือพวกสามหมาสามแมว นั่นเป็นจริง สี่กุมารก็อ่อนจริงๆ ในที่สุดต้องถอยออกไป พรรคที่ร่วมกันตั้งขึ้นมาคนอื่นก็บริหารต่อ
สามหมาสามแมวสามตัวนั่นมันก็เขี้ยวจริงๆ ขนาดก่อนเลือกตั้ง มันพูดเป็นมั่นเป็นเหมาะ ว่าจะไม่รับตำแหน่งรัฐมนตรี เลือกตั้งเสร็จมันก็รับหน้าตาเฉย
มันไม่รู้สึกเขินอาย สีหน้ามันก็ไม่แดงด้วย !
เมื่อรัฐบาลประยุทธ์ เริ่มบริหารประเทศ ก็เริ่มมีกระแสต่อต้านมาตลอด เสียงในสภาผู้แทนราษฎรที่ค่อนข้างปริ่มน้ำ แต่ก็รอดมาได้ทุกครั้ง เมื่อมีการลงมติในวาระสำคัญๆ
ทำไมจึงเป็นเช่นนี้
ที่เป็นเช่นนี้ เพราะ ความอ่อนด้อยของฝ่ายค้านโดยแท้
คู่ชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พลเอก ประยุทธ์ แทนที่จะเป็น คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ หรือนายชัยเกษม นิติศิริ แห่งพรรคเพื่อไทย กลับเป็นนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ พรรคอนาคตใหม่ ซึ่งเป็นคนละรุ่น คนละเรื่อง
การอภิปรายในสภาของฝ่ายค้านก็ไม่ได้เรื่อง นอกสภาก็มีแต่เรื่องไร้สาระเสียเป็นส่วนใหญ่ เช่นเป็นผู้รู้ดีเรื่องโควิด 19 ยิ่งเสียกว่าผู้เชี่ยวชาญเรื่องระบาดวิทยา หรือแสดงภูมิรู้ยิ่งเสียกว่าผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกอย่างคุณหญิงสุดารัตน์
มาถึงเรื่องวัคซีนต่างก็อวดภูมิอวดรู้ หรือไม่ก็แสดงอาการด้อยค่าวัคซีนที่รัฐบาลจัดหามา (แต่เวลาที่จะต้องฉีดยกโขยงกันไปฉีดก่อนประชาชนเสียอีก) ทำให้ประชาชนเหนื่อยหน่าย ไม่เชื่อถือฝ่ายค้าน
นี่ก็เป็นเหตุหนึ่งที่สร้างความมั่นคงให้กับรัฐบาลพลเอกประยุทธ์
ส่วนพรรคที่ตั้งขึ้นมาสนับสนุนนั้น เป็นการแบ่งงานกันใน 3 กำลังหลัก (3 ป ) ด้านพรรคการเมือง พี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์ รับผิดชอบเอง
ตราบใดที่ 3 ป ยังมั่นคงกันอยู่ก็ไม่เป็นปัญหา
การเมืองนอกสภา จะทำให้เสถียรภาพรัฐบาลสั่นคลอนได้หรือไม่ ?
การเคลื่อนไหวเพื่อล้มรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์นั้น เริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่ที่ยังเป็นรัฐบาล คสช . และเมื่อมาเป็นรัฐบาลหลังการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ 2560 การเคลื่อนไหวเพื่อล้มรัฐบาล ยิ่งทำได้มากขึ้น (เพราะเสรีภาพในการเคลื่อนไหวมีมากขึ้น) แต่ยิ่งเคลื่อนไหวก็ไม่ได้ทำให้เสถียรภาพรัฐบาลสั่นคลอนแต่อย่างใด
ยิ่งเคลื่อนไหว ยิ่งออกทะเล
การออกมาชุมนุมแล้วก่อเหตุด้วยการเผาป้อมตำรวจ เผาตู้จรจร เผารถ ที่ดินแดง นางเลิ้ง อย่างที่ทำกันอยู่ทุกวันนี้คิดหรือว่า จะสร้างผลสะเทือนให้เกิดกับรัฐบาลได้ มีแต่จะสร้างความเบื่อหน่ายให้เกิดขึ้นกับประชาชน จนกระทั่งทำให้สถานการณ์สุกงอม ที่รัฐบาลจะจัดการเด็ดขาดเมื่อใดก็ได้
ดังที่เคยกล่าวไว้แล้วในบทความก่อหน้านี้ว่า ถ้าวิธีนี้สำเร็จ ตำราปฏิวัติ ทฤษฎีของโฮจิมินห์ เหมา เจ๋อ ตง ก็ต้องเผาทิ้งกันแล้วละ
หรือ แม้กระทั่งการไปทิ้งชีวิต ไว้ที่บ้านนาบัว ของ จิตร ภูมิศักดิ์ ก็สูญเปล่าแล้วละ !
มาเมื่อวันสองวันนี้ มีการสดุดีการแก้ผ้า ของผู้หญิงคนหนึ่งจากนักเคลื่อนไหว ทั้งนักวิชาการ อีกหน่อยก็อาจจะมีลัทธิเอาอย่าง ทั้งนางหน่อย นางเจี๊ยบอาจจะอยากโหนกระแสบ้าง มาสร้างความอุจาดตาให้ประชาชนทั้งประเทศ แทนการออกมาให้ความรู้ประชาชนว่า รัฐบาล บริหารงานผิดพลาดอย่างไรบ้าง มีการแสวงหาประโยชน์ด้วยการทุจริต คอร์รัปชั่น กันอย่างไร รัฐธรรมนูญที่ใช้อยู่ขณะนี้บกพร่องตรงไหน ต้องแก้ไขตรงไหน อย่างไร
แทนที่จะออกมาแก้ผ้า แทนที่จะออกมาเผาป้อม เผารถ เผาเครื่องหมายจราจร ฯลฯ
พฤติกรรมทั้งในสภา นอกสภา ทั้งหลายทั้งปวงนี่แหละครับ ที่ช่วยให้รัฐบาล ประยุทธ์ อยู่ต่อไป
สำเริง คำพะอุ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี