ชิงดำกันน่าดู เมื่อยักษ์ใหญ่ในวงการยาขับเคี่ยวกันเป็นเทพแห่งการป้องกันและรักษาโควิด-19 แม้ว่าจะตั้งอยู่บนเรื่องผลประโยชน์ของตนเองเป็นหลัก แต่โดยรวมแล้วย่อมส่งผลดีต่อชาวโลกในที่สุด แต่ขอความกรุณาลดราคาลงบ้างเถอะ
เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา บริษัทเมอร์ค แอนด์ โค(Merck & Co) ซึ่งเป็นผู้ผลิตยารายใหญ่ของอเมริกาประกาศปังดังลั่นโลกว่า เราผลิตยารักษาโควิด-19 ได้แล้วจ้าแหม..ทางฝั่งเอเชียเรามียารักษาโควิดมาก่อนหน้าแล้ว อย่างจีนก็ผสมยารักษาจนหายดีกันทุกราย บ้านเราจัดฟ้าทะลายโจรรักษาหายขาดมานักต่อนักแล้ว แต่นั่นแหละ เมื่อฝรั่งป่าวประกาศ ชาวโลกย่อมแซ่ซ้องสรรเสริญเยินยอ
เมอร์คประกาศว่ายา “โมลนูพิราเวียร์” (Molnupiravir)มีประสิทธิภาพต่อต้านเชื้อโควิด-19 ทุกสายพันธุ์ รวมถึงสายพันธุ์เดลต้า แถมช่วยป้องกันการเจ็บป่วยถึงขั้นนอนโรงพยาบาลได้ถึง 50% ป้าดดิโถ..ข่าวดีที่แท้ทรู นี่ไม่ใช่ข่าวดีเฉพาะแค่ในอเมริกา แต่ถือเป็นข่าวดีของโลกเลยทีเดียว ตอนนี้ชาติไหนผลิตยาหรือวัคซีนหรืออะไรก็ตาม ที่สามารถลดอัตราการป่วยการตายของชาวโลกได้ถือว่าดีทั้งนั้น
แม้ว่าจะดีอกดีใจ แต่ทุกคนเลิ่กลั่กเมื่อรู้ราคายามหาเทพยาหนึ่งชุดใช้รับประทานห้าวันต้องจ่าย 712 ดอลลาร์ หรือ 24,000 บาท ขออนุญาตยกมือทาบอกแล้วอุทานว่า “คุณพระ”แต่ที่แน่ๆ คงไม่ใช่พระไพรวันหรือสมปอง เพราะอาการคุ้มดีคุ้มร้าย เดี๋ยวหัวเราะเดี๋ยวร้องไห้ไลฟ์สด
จะว่าไปแล้วบริษัทยาไม่ว่าจะที่ไหน ก็บวกโน่นนี่จนทำให้ค่ายาแพงกว่าความเป็นจริงทั้งนั้น โดยเฉพาะยาที่เป็นที่ต้องการในตลาดโลก จากยาราคาไม่แพงกลายเป็นราคามหาโหดได้ในพริบตา ไอ้ยาโมลนูพิราเวียร์ นี่ราคาจริงแค่ชุดละ17.74 ดอลลาร์ หรือ 601 บาทเองนะ แต่บริษัทยาขายตั้งชุดละ 712 ดอลลาร์ หรือราว 24,000 บาท
พอเห็นเมอร์คประกาศชัย ไวอาก้า เอ๊ย ไฟเซอร์ก็ร้อนรนทนไม่ได้ ถึงขั้นปรุงยากันอย่างเร่งด่วน แล้วประกาศปังในเดือนนี้ว่า อะฮ้า..บริษัทข้าก็ผลิตยารักษาโควิด-19 สำเร็จเหมือนกันโว้ย
อาทิตย์นี้ไฟเซอร์ประกาศลั่นโลกว่า ตอนนี้ไฟเซอร์ทดลองยาขั้นสุดท้ายแล้ว แถมเกทับอีกว่า ไอ้ยาของไอเนี่ยนะสามารถลดโอกาสที่ผู้ป่วยเสี่ยงติดเชื้ออาการรุนแรงจะเข้าโรงพยาบาล หรือเสียชีวิตได้ 89% เลยนะ
เอาแล้วไง..เมอร์คบอกยารักษาโควิด-19 ของไอเจ๋งป้องกันการไปนอนยิ้มแห้งๆ ในโรงพยาบาลได้ตั้ง 50%ส่วนไฟเซอร์บอกว่า ของไอดีกว่ามั้ย ป้องกันได้ตั้ง 89% ปาดหน้าเค้กกันเห็นๆ แล้วออกข่าวทันทีทั้งที่ยายังไม่ทันออกมาสู่ตลาดโลกว่า ผลการทดลองชี้ว่ายาเม็ดของไฟเซอร์มีประสิทธิภาพเหนือกว่ายาโมลนูพิราเวียร์ ของบริษัทเมอร์คแอนด์โค อิงค์ ที่ว่าช่วยลดโอกาสที่ผู้ป่วยความเสี่ยงสูงติดเชื้ออาการรุนแรงจนเข้าโรงพยาบาลหรือเสียชีวิตได้ 50% นั่นไง..ป้าบเข้าให้
ยาเม็ดของไฟเซอร์ชื่อว่า แพกซ์โลวิด (Paxlovid) อาจได้รับการอนุมัติจากคณะผู้ควบคุมกฎระเบียบในช่วงสิ้นปี ในขณะที่ไฟเซอร์มีแผนยื่นผลการทดลองชั่วคราวต่อสำนักงานอาหารและยาแห่งชาติสหรัฐฯ (เอฟดีเอ) ก่อนวันหยุดวันขอบคุณพระเจ้า
แพกซ์โลวิดเป็นยาต้านไวรัสชนิดเม็ดที่ถูกออกแบบมาให้ยับยั้งเอนไซม์โปรตีเอส (protease) ซึ่งเชื้อไวรัสต้องใช้ในการเพิ่มจำนวน และเมื่อใช้ร่วมกับยาต้านไวรัสชนิดเม็ดที่เรียกว่า “ริโทนาเวียร์” (ritonavir) ในโดสที่ต่ำ จะทำให้แพกซ์โลวิดอยู่ในร่างกายได้นานขึ้น ในการใช้แพกซ์โลวิดผู้ป่วยต้องรับประทานยาครั้งละ 3 เม็ด วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 5 วัน ผู้บริหารของไฟเซอร์แถลงข่าวอย่างชื่นมื่นว่า… “เป้าหมายของเราคือทุกคนในโลกจะสามารถเข้าถึงมันอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
แหง๋ล่ะสิ..ยิ่งแพร่กระจายเข้าถึงทุกประเทศในโลก เท่ากับเม็ดเงินมหาศาลเข้ากระเป๋าบริษัท และหุ้นพุ่งทะยานสูงขึ้น นี่ขนาดประกาศข่าว ราคาหุ้นไฟเซอร์ยังพุ่งลิ่ว
ส่วนค่ายาขนานนี้ถูกหรือแพงกว่ายาของเมอร์คล่ะ...มาดูกัน
ผู้บริหารของไฟเซอร์ให้ข้อมูลว่า ราคาของการรักษาน่าจะพอๆ กับราคายาของเมอร์ค โดยราคาของเมอร์คที่ทำไว้กับสหรัฐฯ อยู่ที่ราวๆ 712 ดอลลาร์ (ราว 24,000 บาท) ต่อ 1 คอร์ส รักษาที่ใช้เวลา 5 วัน สรุปคืออย่าป่วยเลย เพราะค่ายาแพงระยับ
อาสาสมัครที่เข้าร่วมการทดลองดังกล่าวมีจำนวน 1,219 คน โดยเป็นผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีอาการไม่รุนแรงถึงปานกลาง คืออาการสีเขียวและสีเหลืองนั่นแหละ มีความเสี่ยงในการเกิดอาการรุนแรงจากโรคโควิด-19 ซึ่งได้แก่โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และการมีอายุมากกว่า 60 ปี
ผลการทดลองพบว่า หากผู้ป่วยโควิด-19 ได้รับยาของไฟเซอร์ภายในเวลา 3 วันหลังมีอาการ เพียง 0.8%ที่ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล และไม่มีผู้เสียชีวิตภายใน 28 วันหลังจากที่ได้รับยา หากได้รับยาของไฟเซอร์ภายในเวลา 5 วันหลังมีอาการ แค่ 1% ที่ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล และไม่มีผู้เสียชีวิต หากเป็นไปตามนี้จริงนับว่าประเสริฐเริ่ดสะแมนแตนมาก
ลุงโจ ไบเดน นั้นปวดกบาลกับโควิดเหลือจะกล่าวเพราะขนาดตัวเองมานั่งเก้าอี้ประธานาธิบดี ก็ยังไม่สามารถคุมเกมได้เต็มร้อย ทั้งจากพลเมืองที่แหกปากตะโกนว่า“ร่างกายของฉัน สิทธิของฉัน” ผู้ว่าการรัฐและนายกเทศมนตรีบางเมืองที่ไม่สนใจไยดีต่อคำสั่งรัฐบาลกลาง พลเมืองที่ต่อต้านไม่ยอมฉีดวัคซีน พอบังคับฉีดก็แห่ลาออกจากงาน หรือไม่ก็ออกมาประท้วง บวกเดลต้าลามระบาด ทั้งหมดนี้ทำให้โควิดยังขวิดไบเดนจนหมอบ
ปัญหาหลักเรื่องโควิดที่เห็นตรงๆ คือตัวคนอเมริกันส่วนมากเองไม่ตระหนักสำนึกและไม่ป้องกันตัวเองเท่าที่ควร ไม่ต้องดูอื่นดูไกล เวลาเราคนไทยไปห้างหรือเข้าร้านเปิดประตู มักจะไม่ใช้มือเปล่าเปิดประตู ต้องมีตัวช่วยเป็นใช้ทิชชู่จับบ้าง หากต้องใช้มือเปล่าก็จะทาเจลล้างมือทันที แต่อเมริกันแถวบ้านเดินไม่ใส่หน้ากากเข้าห้าง ใช้มือเปล่าเปิดประตู และไม่เคยใช้เจลล้างมือหลังจากจับประตู จะไม่ป่วยกันเป็นล้านได้ไง
ทุกวันนี้ทำตัวเหมือนโลกนี้ไม่มีโควิดอีกต่อไปแล้ว เห็นแล้วก็กลุ้มใจ เลยคิดว่าตราบใดที่ราคายายังแพงขนาดนี้ คงต้องขุดรูอยู่ต่อไป โดยออกไปเจอชาวโลกให้น้อยที่สุด เพราะแม้ว่าจะมียารักษาโควิด แต่อาจหัวใจวายตายได้ตอนรับใบเสร็จค่ารักษาพยาบาล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี