อาจารย์ปิยบุตรแสงกนกกุลเพจประวัติศาสตร์บางเพจที่มีจุดหมายแฝงใช้ความจริงครึ่งเดียวมาปลุกเร้าทางการเมืองโดยโยงปมขัดแย้งสงครามกลางเมืองอเมริกากับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ โดยเขียนเชิงให้ข้อมูลเรื่องสงครามกลางเมืองเพียงครึ่งเดียวตบท้ายด้วยการขู่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไทยอาจจะนำไปสู่สงครามกลางเมืองเหมือนในอเมริกา
ทั้งอาจารย์ปิยบุตรและเพจประวัติศาสตร์ดังกล่าวมีการใช้ความจริงครึ่งเดียวมาผูกร้อยเกี่ยวกับโยงคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญของไทยกับการตัดสินคดีทาสผิวดำชื่อ เดร็ด สก็อตต์ (Dred Scott) ซึ่งเป็นทาสของจอห์นอีเมอร์สัน ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอเป็นอิสระเพราะเดร็ดเคยอาศัยในรัฐทางตอนเหนือที่ไม่ใช่รัฐทาสศาลตัดสินให้เดร็ดคงความเป็นทาสต่อไปนักวิชาการและบางเพจโยงประเด็นนี้เข้ากับสถานการณ์การเมืองไทยเพื่อปลุกเร้าให้เกิดความขัดเคืองต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยโยงว่าคำตัดสินของศาลอาจจะทำให้เกิดสงครามกลางเมืองในอเมริกา
ในฐานะที่ดิฉันเขียนหนังสือไว้สองเล่มเล่มแรกเกี่ยวกับสงครามกลางเมืองอเมริกาและเล่มที่สองเป็นหนังสือเกี่ยวกับสมรภูมิเก็ตตี้สเบิร์กซึ่งเป็ฯสมารภูมิที่ชี้วัดชะตาสงครามกลางเมืองที่พลิกผันให้ฝ่ายเหนือมีชัยเ
หนือฝ่ายใต้ เห็นการโยงแบบมีจุดมุ่งหมายแฝงเร้นของอาจารย์ปิยบุตรแสงกนกกุลแล้ว จึงอยากให้ข้อมูลที่ถูกต้องเพิ่มเติม โดยแยกเป็นข้อๆ ดังนี้
1.ช่วงที่อเมริกายังไม่เป็นประเทศ แต่เป็นเพียง 13 อาณานิคมพ่อค้านำคนผิวดำจากแอฟริกามาใช้แรงงานในไร่ยาสูบที่อาณานิคมจอร์เจีย 13 รัฐแรก เติบโตมาจากสิบสามอาณานิคมแบ่งเป็นรัฐเสรีจำนวน 5 รัฐ และรัฐที่อนุญาตให้ค้าทาสได้มี 8 รัฐ ซึ่ง 8รัฐที่มีการค้าทาสนี้เรียกว่ารัฐทาส หลังจากนั้นทั้ง 13รัฐขยายขอบเขตออกไป จนมีทั้งหมด 34 รัฐในเวลานั้น แบ่งเป็นรัฐเสรี19 รัฐ อยู่ทางตอนเหนือของประเทศและรัฐทาส 15 รัฐ ทางตอนใต้ในสมัยของประธานาธิบดีเจมส์ บูแคนันมีรัฐเกิดใหม่เพิ่มขึ้นอีก 3 รัฐคือมินเนโซต้า โอเรกอนและแคนซัส ซึ่งทั้งสามรัฐเข้าร่วมกลุ่มรัฐเสรีทำให้สัดส่วนระหว่างรัฐเสรีและรัฐค้าทาสเป็น 19 ต่อ 15 โดยรัฐเสรี 19 รัฐและรัฐค้าทาส 15 รัฐ
2.มีการอ้างว่าจุดแตกหักที่ทำให้เกิดสงครามกลางเมืองอเมริกามาจากเรื่องทาสเพียงประเด็นเดียว ทั้งที่เรื่องทาสและคดีของเดร็ดสก็อตต์เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นสงครามกลางเมืองเกิดขึ้นจากหลายปัจจัยประกอบกันคือปมขัดแย้งเรื่องทาส ปมขัดแย้งเรื่องดินแดนตะวันตกปมขัดแย้งด้านแนวคิด ปมขัดแย้งทางเศรษฐกิจและปมขัดแย้งทางการเมือง ทั้งหมดส่งผลให้เกิดสงครามกลางเมืองไม่ใช่เพียงแต่ผลการตัดสินในกรณีทาสผิวดำเดร็ด สก็อตต์
3.ชนวนสงครามกลางเมืองเรื่องทาส ในปี ค.ศ. 1785มีการผลิตเครี่องทอผ้าเพื่อใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในโรงงานรัฐตอนเหนือ ฝ้ายจากรัฐทางใต้จึงกลายเป็นสินค้ายอดนิยมฝ้ายเหล่านี้มาจากแปลงเพาะปลูกรัฐทางใต้ที่ใช้แรงงานทาสผิวดำเป็นหลัก เท่ากับว่ายิ่งปลูกฝ้ายมากขึ้นเท่าใดย่อมยิ่งต้องการแรงงานทาสมากขึ้นเท่านั้นทำให้ไม่อาจหลีกเลี่ยงการค้าทาสและการนำทาสเข้ามาใช้แรงงานในแปลงเพาะปลูกได้เกิดความแตกต่างทางแนวคิดของคนอเมริกันในรัฐทางเหนือและรัฐทางใต้เรื่องทาส เพราะชาวรัฐทางเหนือไม่ต้องการให้มีแรงงานทาสผิวดำแต่ชาวรัฐทางใต้ต้องการทาสผิวดำไว้ใช้งาน
4.ชนวนสงครามกลางเมืองเรื่องการขยายดินแดนไปทางตะวันตกรัฐทางเหนือไม่นิยมมีทาสในครอบครองเน้นเรื่องการพัฒนาอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ส่วนรัฐทางใต้มีระบบเศรษฐกิจแบบพึ่งพาการใช้แรงงานทาสในแปลงเพาะปลูกขนาดใหญ่ ต่อมาอเมริกาซื้อหลุยส์เซียน่าจากฝรั่งเศสจึงทำให้อาณาเขตประเทศกินแดนเข้าไปทางฝั่งตะวันตกของทวีปเมื่อชนะสงครามสเปนและเม็กซิกันก็ได้ดินแดนทางตะวันตกเฉียงใต้มาเพิ่มอีก ดินแดนใหม่ส่วนนี้เรียกว่า "ดินแดนตะวันตก"ดินแดนตะวันตกถือเป็นจุดที่ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างกันเพราะรัฐทางเหนือซึ่งเป็นรัฐเสรีไม่อยากให้รัฐที่จะเกิดขึ้นใหม่ในดินแดนตะวันตกเป็นรัฐค้าทาสขณะเดียวกัน รัฐทางใต้ซึ่งเป็นรัฐค้าทาสอยากให้แผ่นดินตะวันตกกลายเป็นรัฐค้าทาส
5.ชนวนสงครามกลางเมืองการขัดแย้งทางด้านเศรษฐกิจชาวอเมริกันในรัฐทางเหนือทำธุรกิจและอุตสาหกรรมขนาดใหญ่นำเข้าแรงงานจากยุโรปเพื่อเป็นกรรมกรในโรงงานต้องการให้รัฐบาลตั้งกำแพงภาษีขาเข้าสูงๆเพื่อป้องกันไม่ให้สินค้าประเภทเดียวกันจากยุโรปทะลักเข้ามาในอเมริกาและต้องการให้รัฐบาลกลางเป็นผู้ควบคุมเงิน โดยมีธนาคารแห่งชาติดูแล
ทำให้นายทุนในรัฐทางเหนือมีอำนาจทางการเงินส่วนอเมริกันในรัฐทางใต้ส่วนใหญ่เป็นเจ้าของที่ดินแบบแปลงเพาะปลูกขนาดใหญ่ที่ใช้แรงงานทาสเป็นหลักความต้องการจึงสวนทางกับความต้องการของคนอเมริกันในรัฐทางเหนือต้องการให้รัฐบาลลดกำแพงภาษีนำเข้าเพื่อให้พ่อค้าทางใต้สามารถขายสินค้ากับทางยุโรป
6.ชนวนความขัดแย้งทางการเมืองพรรคการเมืองที่เป็นตัวแทนรัฐทางเหนือคือพรรครีพับลิกัน (ในยุคนั้น)นโยบายหลักของพรรคคือการตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าสูงเพื่อให้คนในประเทศใช้สินค้าอเมริกันเพื่ออุ้มอุตสาหกรรมหนักในรัฐทางเหนือเน้นการสร้างทางรถไฟมุ่งสู่ตะวันตกและออกกฎห้ามนำทาสเข้าไปใช้แรงงานในดินแดนตะวันตกในขณะที่รัฐทางใต้มีพรรคการเมืองคือพรรคเดโมเครติคซึ่งมีนโยบายสวนกระแสกับพรรครีพับลิกัน เช่น มุ่งอุ้มชูช่วยเหลือเกษตรกรรมชาวใต้ ด้วยการลดภาษีขาเข้าให้ต่ำลงออกกฎให้มีการจัดสรรที่ดินในดินแดนตะวันตกโดยอนุมัติให้นำแรงงานทาสผิวดำไปใช้ในดินแดนตะวันตกได้โดยเสรีมุ่งเน้นว่าการใช้แรงงานทาสจะต้องดำรงอยู่คู่รัฐทางใต้ไม่สนับสนุนการตั้งธนาคารกลางและรัฐบาลกลางหากไม่พอใจการบริหารของรัฐบาลกลางก็มีสิทธิ์แยกตัวออกมาได้
7.ในปี ค.ศ.1861 อับราฮัม ลินคอล์นจากพรรครีพับลิกันได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี รัฐทางใต้ 7รัฐจึงแยกตัว ออกไปตั้งเป็นสมาพันธรัฐเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1861โดยไม่ขึ้นต่อรัฐบาลกลางอีกต่อไป นี่คือจุดเริ่มต้นของสงครามกลางเมืองที่อเมริกันแบ่งแยกสองฝ่ายอย่างชัดเจน
สงครามกลางเมืองเป็นการสู้รบระหว่างฝ่ายสหภาพ (รัฐบาลกลาง)หรือฝ่ายเหนือ มีอับราฮัม ลินคอล์นเป็นประธานาธิบดีมีเมืองหลวงอยู่ที่วอชิงตันดีซี กับสมาพันธรัฐหรือฝ่ายใต้ มีเจฟเฟอร์สันเดวิด เป็นประธานาธิบดี มีเมืองหลวงที่ริชมอนด์ รัฐเวอร์จิเนีย
8.สงครามกลางเมืองไม่ได้มีสาเหตุมาจากการที่ศาลตัดสินคดีทาสผิวดำรายนั้นเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากปัจจัยหลายอย่างประกอบกันทำให้เกิดสงครามโดยจุดแตกหักคือการแยกตัวของรัฐทางใต้ที่ไม่ยอมขึ้นตรงต่อรัฐบาลกลาง
อาจารย์ปิยบุตรเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยและได้คำนำหน้าชื่อว่าเป็นดร.มีสถานภาพเป็นนักวิชาการไม่ควรใช้ข้อมูลทางประวัติศาสตร์อเมริกาเพียงครึ่งเดียวมาโยงกับเหตุการณ์ในไทยเพื่อปลุกเร้าให้เกิดความแค้รนเคืองศาลรัฐธรรมนูญ เพราะคนละบริบท..คนละสังคม..และคนละช่วงเวลาทุกอาชีพควรมีจริยธรรม นักวิชาการยิ่งควรมีจริยธรรมเพราะอยู่ในตำแหน่งที่เป็นที่เคารพยกย่องว่าเป็นครูบาอาจารย์อย่าใช้วิธีการเช่นนี้ปลุกเร้าคนไทยอย่างไร้จรรยาบรรณทางวิชาชีพเลย
.....................................................................
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี