ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนของกลุ่ม Resolution ที่เพิ่งถูกปัดตกไปในวาระแรกเมื่อ 3-4 วันที่ผ่านมานี้ เป็นร่างประชาชนฉบับที่ 2 ต่อจากฉบับแรกของกลุ่ม iLaw ที่ไม่ผ่านมติรับหลักการในวาระแรกเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว
การที่ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของกลุ่ม Resolution ไม่ผ่านมติของรัฐสภาในวาระแรก ไม่ใช่เรื่องแปลก และคิดว่าผู้เสนอร่างก็คงทราบล่วงหน้าแล้วว่าไม่ผ่าน แต่ที่เสนอคงเพราะต้องการเวทีที่ความคิดของตนจะได้รับการได้ยินมากกว่า
สาระสำคัญของร่างแก้ไขฉบับนี้ มี 4 ประเด็นด้วยกัน คือ
1) ยกเลิกวุฒิสภา ใช้ระบบสภาเดียว นายกรัฐมนตรีต้องมาจาก ส.ส.เท่านั้น
2) สลายอำนาจอิทธิพลของ ค.ส.ช.โดยให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและกรรมการในองค์กรอิสระที่ดำรงตำแหน่งอยู่และมาจากระบบการคัดเลือกของ ค.ส.ช.พ้นจากตำแหน่ง และให้คัดเลือกคนใหม่จากองค์กรที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งยกเลิกแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีของ ค.ส.ช.
3) ลบล้างผลพวงรัฐประหาร โดยให้ยกเลิกการนิรโทษกรรมตัวเองของคณะรัฐประหาร 2557 กำหนดให้ปวงชนชาวไทยมีสิทธิและหน้าที่ในการต่อต้านการรัฐประหาร ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐมีหน้าที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของคณะทหารที่ก่อการรัฐประหาร และห้ามไม่ให้ศาลพิพากษารับรองความสำเร็จของการรัฐประหาร และ
4) เพิ่มอำนาจตรวจสอบให้ฝ่ายค้านและประชาชน
ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เมื่อพิจารณาจากสาระสำคัญข้างต้นแล้ว จะเห็นว่าประเด็นที่ 1 กับประเด็นที่ 4 ไม่น่าจะมีอะไรเป็นปัญหา เพราะไม่มีอะไรขัดแย้งกับหลักการและค่านิยมในระบอบประชาธิปไตย สำหรับประเด็นที่ 2 และ 3 ซึ่งมีประเด็นที่ 1 พ่วงอยู่ด้วยนั้น เจตนาจะพุ่งเป้าโดยตรงไปที่อำนาจอิทธิพลของ ค.ส.ช.ด้วยเหตุนี้จึงถูกฝ่ายตรงข้ามหรือฝ่ายที่สนับสนุน ค.ส.ช.ต่อต้านคัดค้านตั้งแต่ยังไม่เข้าสภา และหลังจากถูกตีตกไปแล้ว ก็ยังมีคนมาเขียนต่อต้านอีก บ้างว่าเป็นร่างแก้ไขที่สุดโต่ง บ้างว่าคนเสนอร่างเป็นพวกนักเรียนนอก ไม่ศึกษาประวัติศาสตร์ของชาติไทย ฝักใฝ่การปฏิวัติฝรั่งเศส หนักเข้าไปโยงว่าผู้เสนอจงเกลียดจงชังสถาบันพระมหากษัตริย์ เพียงเพราะหนึ่งในแกนนำที่เสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญคือ นายปิยบุตร แสงกนกกุล
ผมในฐานะคนที่ไม่สนับสนุนการทุจริตโกงกินของกลุ่มทักษิณ และไม่ต่อต้านการยึดอำนาจของ ค.ส.ช.เพราะเห็นว่าการยึดอำนาจครั้งนั้นเป็นความชั่วร้ายที่จำเป็น (necessary evil) แต่ผมก็ไม่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจและไม่ปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนในวันที่ยึดอำนาจ จึงปฏิกิริยาและการวิจารณ์แบบด้านเดียวต่อร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ทำให้ผมรู้สึกว่า สังคมไทยกำลังก้าวเข้าสู่จุดอันตรายที่คนในสังคมทุกวันนี้ไม่ใช้เหตุผลและความถูกต้องมาพิจารณาปัญหา แต่ใช้ความเป็นพรรคเป็นพวก การแบ่งพวกแบ่งฝ่ายมาตัดสินปัญหา ใครที่ไม่ใช่พวกตน พูดอะไรทำอะไรเป็นผิดไปหมด แม้สิ่งที่เขาพูดจะมีทั้งถูกและผิดปะปนกันอยู่ ในทางกลับกัน ใครที่เป็นพวกตน หรือเป็นพวกที่ตนสนับสนุน พูดอะไรทำอะไรก็ถูกทุกเรื่อง โกงก็ว่าไม่โกง ผิดก็ว่าไม่ผิด
การเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนครั้งนี้ สาระสำคัญหลักที่เป็นแก่นแกนที่สุด คือต้องการล้างอำนาจอิทธิพลของ ค.ส.ช.ที่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเอื้อประโยชน์ไว้ ไม่ว่าจะเป็นการยกเลิกวุฒิสภา ยุติการดำรงตำแหน่งของบุคคลในองค์กรต่างๆ ที่ครอบงำโดย ค.ส.ช.รวมถึงการยกเลิกการนิรโทษกรรมตัวเองของ ค.ส.ช.การเสนอร่างกฎหมายเช่นนี้ จะว่าไม่มีประโยชน์เลยก็ไม่เชิง เพราะบางประเด็นก็มีเหตุผล โดยเฉพาะการเพิ่มอำนาจและกลไกการตรวจสอบการทำงานของภาครัฐและองค์กรอิสระที่มักถูกครอบงำโดยผู้กุมอำนาจรัฐ
แต่กระนั้นบางประเด็นในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็ดูไร้สาระเช่นกัน เป็นต้นว่า การบัญญัติให้บทบัญญัติในมาตรา 48 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 (ที่ให้การกระทำของบุคคลที่เกี่ยวเนื่องกับการยึดอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือของผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากหัวหน้า หรือคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือของผู้ซึ่งได้รับคําสั่งจากผู้ได้รับมอบหมายจากหัวหน้าหรือ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ พ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง) เป็นโมฆะ เสียเปล่า เสมือนว่าไม่เคยเกิดขึ้นและไม่มีผลใดๆ ในทางรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ซึ่งก็หมายความว่าบรรดาข้าราชการและบุคคลที่เขาจำเป็นต้องปฏิบัติตามคำสั่งของ ค.ส.ช.เมื่อเข้ามายึดอำนาจรัฐ กลับพลอยจะต้องมีความผิดไปด้วย ซึ่งดูจะไม่เป็นธรรมกับพวกเขาเลย
ยิ่งไปกว่านั้น การบัญญัติห้ามข้าราชการ เจ้าหน้าที่ของรัฐ และศาล ปฏิบัติตามคำสั่ง หรือรับรองการกระทำของคณะรัฐประหาร ดูจะเป็นบทบัญญัติเชิงอุดมคติที่ไม่อาจปฏิบัติเป็นจริงได้ เพราะเมื่อใดที่คณะรัฐประหารกระทำการสำเร็จ รัฐธรรมนูญก็ถูกฉีก อะไรจะเป็นเกาะคุ้มครองป้องกันพวกเขาให้ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งที่มีรถถังกับปืนกดหัวอยู่ได้ เว้นแต่พวกเขาจะขอลี้ภัยหรือไปจัดตั้งขบวนการต่อต้าน และเมื่อถึงเวลานั้น กลุ่ม Resolution ที่เสนอบทบัญญัติเหล่านี้จะคุ้มครองป้องกันภัยให้พวกเขาได้ไหม?
สังคมไทยเรา รัฐประหารกับการทุจริตคอร์รัปชัน เป็นวัฒนธรรมด้านมืดที่ต้องอาศัยเวลาในการแก้ไข ต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงค่านิยมของคนในชาติอย่างต่อเนื่องและจริงจัง จนสามารถสั่งสมเป็นวัฒนธรรมใหม่ เป็นคนไทยในคุณภาพใหม่ที่สามารถแยกแยะถูกผิดดีชั่ว ไม่ใช่แยกแยะได้แต่พวกเรากับพวกมัน
ตราบใดที่คุณภาพคนยังเป็นเช่นนี้ แก้รัฐธรรมนูญไปก็เท่านั้น เพราะคุณภาพคนสำคัญกว่าคุณภาพกฎหมาย
ที่พูดเช่นนี้ มิได้หมายความว่ากฎหมายไม่ต้องมีคุณภาพ แต่ถึงที่สุดแล้วคุณภาพคนสำคัญกว่า เพราะคนชี้ขาดทุกสิ่งทุกอย่าง
ณรงค์ฤทธิ์ ศรีรัตโนภาส
21 พฤศจิกายน 2564
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี