อาทิตย์นี้ขอเขียนเล่าเรื่องเบาๆ พักเบรคจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนอันน่าปวดหัว เพราะตอนนี้ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะบานปลายไปเรื่อยๆ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ผู้ไม่ค่อยหวีผมไปโผล่ที่ยูเครน แถมพี่หมีขาวระดมหลายชาติให้แลกเปลี่ยนซื้อของกันด้วยสกุลเงินของตัวเองโดยไม่ผ่านดอลลาร์ ช่วงนี้เป็นช่วงสงกรานต์ อันแป็นปีใหม่ไทย เลยอยากเล่าเรื่องนั่นนี่โน่นสนุกๆมากกว่า เพราะดูทรงแล้วสงครามหนนี้คงไม่จบง่ายอย่างที่คิด
ชาวโลกรู้ว่าอเมริกากับรัสเซียนั้นเป็นคู่กรณีสงครามเย็น จนหลายคนคิดว่าสองชาตินี้คงไม่มีวันยิ้มให้กันได้ แต่จริงๆ แล้วครั้งหนึ่งไอ้นกอินทรีกับพี่หมีขาวเป็นมิตรกันมาก่อน ตอนช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ยังอยู่ฝ่ายเดียวกันเลย มาแตกหักรักไม่ลงช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองนี่แหละ แต่เชื่อไหมว่าอเมริกาได้ครอบครองดินแดนของรัสเซีย และสถาปนาเป็นรัฐของอเมริกาเต็มภาคภูมิ
เมื่อเอ่ยถึงอลาสก้า หลายคนรู้สึกหนาวแทนพลเมืองที่นั่น เพราะได้ชื่อว่าเป็นรัฐที่หนาวสะท้านโลกขนาดไหน จริงๆ แล้วเคยมีการจัดอันดับ 10 เมืองที่หนาวที่สุดในอเมริกา 8 ใน 10 เมืองอยู่แถบมิดเวสต์แถวบ้านผู้เขียนนี่เอง แต่ก็นั่นแหละ เมื่อเอ่ยถึงอลาสก้า ภาพที่เด้งฉับพลันทันใดในหัวคือภาพหิมะเย็นยะเยือกขาวโพลนไปทั่วรัฐ
อลาสก้าเป็นรัฐที่ 49 ในบรรดา 50 รัฐของอเมริกา รัฐที่ 50 ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นฮาวาย
แต่เชื่อไหมว่าอลาสก้าเคยเป็นของรัสเซียมาก่อน
อลาสก้าถูกค้นพบโดยนักเดินทางรัสเซียในปีค.ศ.1741 พี่หมีขาวเลยกระโจนเข้าครอบครองตั้งแต่ปี ค.ศ.1784 ไอ้ที่โผเข้าหาดินแดนโน่นนี่ไม่ใช่อะไรหรอก พี่หมีแกอยากขยายอาณาจักรไปเรื่อยๆ เพราะช่วงนั้นประเทศต่างๆ ก็ล่าอาณานิคมกัน จะล่องไปล่าแถวไหน ประเทศแถบยุโรปก็ล่ากันหมดแล้ว เลยต้องมุ่งหน้าขึ้นเหนือ
พี่หมีขาวอยากได้อาณานิคมในดินแดนฝั่งตะวันออก เอาไว้ค้าขายชายเฟือยและเผยแพร่ศาสนาคริสต์นิกายรัสเซียนออร์โธดอกซ์ รวมถึงการเรียกเก็บภาษีและทรัพยากรจากอาณานิคม แต่อลาสก้านั้นยกเว้น เพราะการครอบครองอลาสกาของรัสเซีย เป็นไปเพื่อการทำธุรกิจมากกว่าการตั้งถิ่นฐาน มีการจัดตั้งการค้าขนสัตว์ในปีค.ศ.1781 และตั้งบริษัท Russian American Company ในปี ค.ศ. 1799
หากเรากางแผนที่โลก จะเห็นว่าอลาสก้าอยู่ไกลจากขอบเขตดินแดนรัสเซีย ด้วยระยะทางที่ห่างกันมากระหว่างอลาสก้ากับเมืองหลวงของรัสเซีย ทำให้การสื่อสารเป็นไปด้วยความยากลำบาก แถมไม่มีชาวรัสเซียอยากไปตั้งรกรากในอลาสก้ามากนัก เพราะนอกจากหนาวแล้วยังไกลปืนเที่ยง เลยมีคนหอบผ้าหอบผ่อนไปอยู่ที่นั่นแค่ 800 คนเท่านั้นเอง
ที่หนักหนากว่านั้นคือหนาวหูตูบจนเพาะปลูกอะไรไม่ค่อยจะได้ ทำให้ผู้นำหมีขาวเบ้ปากมองบนว่าจะเอาไอ้แผ่นดินนี้ไว้ทำไมหนอเรา นอกจากอลาสก้าจะกลายเป็นดินแดนที่ไม่ทำกำไรให้รัสเซีย ยังเสี่ยงต่อการถูกรุกรานโดยอังกฤษ ทำให้พี่หมีขาวนอนกระดิกตีนตรอง ว่าจะเอาไงดีกับไอ้ดินแดนแห่งนี้ ที่สำคัญตอนนั้นรัสเซียกำลังถังแตกเสียด้วย
รัสเซียกำลังจนกรอบ เพราะทำสงครามอย่างหนักและต่อเนื่อง เพื่อขยายอาณาเขตให้กว้างใหญ่ไพศาล การทำสงครามแต่ละครั้งนั้นต้องใช้เงินมหาศาล โดยเฉพาะสงครามไครเมียในปี 1853-1856
สงครามหนนี้ทำเอารัสเซียสิ้นเนื้อประดาตัวแทบล้มละลายแถมขาดทุนหลังเซ็นสนธิสัญญาสันติภาพปารีส1856 มีการกันทะเลดำให้เป็นเขตกลางเพื่อไม่ให้รัสเซียตั้งฐานยุทธศาสตร์ นั่นยิ่งทำให้สูญเสียช่องทางการค้าขายกับประเทศอื่นไปโดยปริยาย
เมื่อถังแตกก็ต้องขายของเก่ากินนั่นแหละกวาดสายตาทั่วแผ่นดินแล้วพบว่าอลาสก้าเป็นแผ่นดินของรัสเซียในบริเวณอเมริกาเหนือ แถมยังรกร้างว่างเปล่าเต็มไปด้วยน้ำแข็ง จนทางรัสเซียคิดว่าหาประโยชน์อะไรไม่ได้ และไม่อยากจ่ายเกินก้อนโตในการดูแลแผ่นดินผืนนี้ เลยเอาไปเร่ขายให้อเมริกา ซึ่งตอนนั้นยังดีๆ กันอยู่ แถมทั้งรัสเซียและอเมริกามีศัตรูร่วมกันคืออังกฤษ เลยใส่พานวางถวาย
รัสเซียตัดสินใจเสนอขายอลาสก้าให้อเมริกาในค.ศ. 1859 แต่การเจรจาซื้อขายถูกชะลอไปเนื่องจากสงครามเย็น จนกระทั่งวันที่ 30 มีนาคม ค.ศ. 1867 วิลเลียม เอช. ซูเวิร์ด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีแอนดรูว์ จอห์นสัน ซื้ออลาสก้ามาจากรัสเซีย
การซื้อขายครั้งนี้ถูกวิจารณ์อย่างหนัก สื่อในอเมริกาลงข่าวเสียดสีว่าอลาสก้าเป็นความโง่เขลาของซูเวิร์ด และเป็นสวนหมีขั้วโลกของจอห์นสัน ส่วนชาวรัสเซียต่างไม่พอใจที่อลาสก้าถูกขายไป เพราะรัสเซียทุ่มเทพัฒนาอลาสก้ามาอย่างยาวนาน อยู่ๆ จะมาขายไปง่ายๆ ได้ไง แถมขายถูกเสียด้วย
รัสเซียตกลงเซ็นสัญญาขายอลาสก้าให้กับสหรัฐอเมริกาด้วยราคา 7.2 ล้านดอลลาร์ นับว่าถูกมากหากเทียบกับสิ่งที่อลาสก้ามี ตอนแรกเสนอขายสิบล้านดอลลาร์ แต่อเมริกาต่อเหลือ 7.2 รัสเซียเลยยอมรับเงื่อนไขนี้ ทำให้อลาสก้ากลายเป็นรัฐที่ 49 ของสหรัฐอเมริกา
หลังอเมริกาซื้ออลาสก้าไปแล้ว รัสเซียคงนึกเสียดายแผ่นดินผืนนี้อย่างยิ่ง เพราะอลาสก้าเต็มไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติล้ำค่า ทั้งน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ การท่องเที่ยว และการประมง โดยมีการค้นพบน้ำมันในปี ค.ศ. 1968
อลาสกามีส่วนสำคัญต่อเศรษฐกิจอเมริกา อาหารทะเลร้อยละ 50 น้ำมันดิบร้อยละ 25 มาจากอลาสก้า แถมอลาสก้าสร้างมูลค่าการส่งออกให้สหรัฐมากถึง 2.40 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงภาษีการค้ามากถึง 1.84 พันล้านดอลลาร์
อ่านเรื่องราวประวัติศาสตร์... เรื่องราวของอลาสก้า รัฐที่ 49 และเป็นรัฐที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา ความพลาดท่าของพี่หมีขาวที่ทำให้อเมริกันไชโยโห่ฮิ้ว ทุกวันนี้รัฐอลาสก้ามั่งคั่งสุดๆ ถึงขนาดประกาศแจกเงินให้คนไปตั้งรกรากที่รัฐนี้เลยทีเดียว พลเมืองอลาสก้าทุกคนยังได้เงินก้อนโตทุกปีจากรัฐ เป็นส่วนแบ่งรายได้ที่ขายน้ำมันได้อย่างเป็นกอบเป็นกำอีกด้วย
แหม..ก็รัฐมันรวย..ช่วยไม่ได้นี่นะ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี